May 7, 2007

General Equilibrium เศรษฐศาสตร์แนวแฟนตาซี ตอนกล่องของ Edgeworth

ปกป้อง หรือ อาจารย์ป้อง , มิตรทางปัญญาและสหายสมัยเรียนธรรมศาสตร์ , เคยเขียนแนะนำหนังสือเรื่อง The Making Modern Economic : the lives and ideas of the great thinkers ของ นาย Mark Skousen หลังจากที่ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มดังกล่าวแล้ว ผมรู้สึกถึงเสน่ห์แบบแปลกๆของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังทั้งหลาย ทำให้นึกไปถึงคำพูดที่ว่า “มีเส้นบางๆกั้นกลางระหว่างอัจฉริยะกับคนบ้า” อย่างไรก็ตามผมกลับคิดว่าความบ้าหรือเพี้ยน(Freak) ของคนเหล่านี้มีเสน่ห์และไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครแถมยังสร้างประโยชน์ให้กับโลกวิชาการ ซึ่งต่างจากคนดีๆ ที่มักจะบ้าอำนาจ บ้าชื่อเสียง บ้าเกียรติยศ
หัวเรื่องที่จั่วไว้คงเป็นศัพท์เฉพาะทางที่เด็กเศรษฐศาสตร์คงจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี ใช่แล้วครับ! วันนี้ผมจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องของ General Equilibrium ซึ่งแปลเป็นไทยว่า ดุลยภาพทั่วไป สมัยที่ผมเริ่มเรียนเรื่องนี้ใหม่ๆ ผมมักประหลาดใจในความช่างคิดของกูรูเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายว่า ทำไม (แ ... ง) ไม่มีอะไรให้คิดแล้วเหรอ เพราะหลังจากที่เราเจอกราฟตั้งแต่เส้นเดียวไปยังหลายเส้น บางเส้นก็เป็นเส้นตรงบางเส้นเว้าแบบ Convex บางเส้นคว่ำแบบ Concave แถมยังเจอการ Shiftของกราฟทั้งแบบปกติและพิสดาร สารพัดที่จะเจอครับ สุดท้ายพอมาถึงเรื่อง General Equilibrium ผมกลับมาเจอกล่อง (Box) อีก โอ้!...พระเจ้ายอด มันจอร์จมากเลย
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ผมมองว่าเรื่อง General Equilibrium มีความเป็นแฟนตาซีสูง เพราะ มันมีความสวยงามอยู่ในตัว เพียงเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าตลาดทุกตลาดในระบบเศรษฐกิจนั้นมันมี ดุลยภาพอย่างไร หรือพูดให้ยากขึ้นไปอีก คือ ทุกตลาดมันจะหาทางปรับตัวเข้าหาดุลยภาพของมันเองจนท้ายที่สุดเกิดดุลยภาพทั่วไปทั้งหมด ดังนั้นเรื่องของ General Equilibrium จึงมีความแตกต่างจาก Partial Equilibrium ที่พิจารณาเจาะจงไปที่ตลาดใดตลาดหนึ่ง
อย่างที่เราทราบกันดีว่าเศรษฐศาสตร์จุลภาคนั้นเติบโตอย่างมั่นคงในแผ่นดินยุโรป โดยมีสำนัก Cambridge เป็นหัวขบวน ภายใต้การนำของปรมาจารย์ Alfred Marshall และ Authur C. Pigou ขณะที่ในเวียนนามีสำนักคิดที่เรียกตัวเองว่าเป็นพวก Austrian School มีนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำเชื้อสายออสเตรียน อย่าง Carl Menger , Ludwig Von Missie และ Eugen Bohm Bawerk (สำหรับรายหลังนี้ จัดเป็นยอดรัฐมนตรีคลังของออสเตรีย ถึงขนาดที่รัฐบาลออสเตรียนำหน้าของเขาไปปรากฏบนธนบัตรเลยทีเดียว) ส่วนในสวีเดนมีสำนัก Stockgholm ของ Knut Wicksell ต่อมาสำนักนี้พัฒนาตัวเองจนขึ้นชื่อในเรื่องทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศ และฐานที่มั่นสุดท้ายของวิชาเศรษฐศาสตร์จุลภาคอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ครับ ภายใต้การนำของ Leon Walras และ Vifredo Pareto ทั้งสองสร้างสรรค์ให้สำนัก Lusanne มีชื่อเสียงในเรื่องของ General Equilibrium โดยเฉพาะ Walras ได้รับการยกย่องเป็นพิเศษจากนักเศรษฐศาสตร์รุ่นหลังว่าเป็นผู้บุกเบิกเอาวิชาคณิตศาสตร์มาผสมกับเศรษฐศาสตร์ได้อย่างลงตัว
กลับมาที่พระเอกของเราครับ , ผมขอแนะนำนักเศรษฐศาสตร์เผ่าพันธุ์ไอริช นามว่า Francis Ysidro Edgeworth (1845 – 1926 ) ครับ Edgeworth เป็นนักเศรษฐศาสตร์ร่วมสมัยเดียวกับ Leon Walras (1834-1910) Alfred Marshall (1842-1924 )และ Vifredo Pareto (1848 - 1923) ทั้งหมดล้วนมีอิทธิพลต่อการสร้างองค์ความรู้ของวิชาเศรษฐศาสตร์จุลภาค
Edgeworth มีประวัติการศึกษายอดเยี่ยม เขาจบการศึกษาที่ Trinity College โดยนอกจากจะมีพื้นความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ระดับเอกอุแล้วเขายังชำนาญการทางสถิติชนิดที่หาตัวจับยาก Edgeworth เริ่มงานเป็นอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์และการเมือง (Political Economy) ที่ Oxford อีกสำนักหนึ่งที่เป็นคู่แข่งกับ Cambridge School ซึ่งงานส่วนใหญ่ของเขาเป็นงานที่ใช้คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมืออธิบายเศรษฐศาสตร์ ผมตั้งข้อสังเกตว่าช่วงเวลาดังกล่าววิชาเศรษฐศาสตร์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเพราะมีคณิตศาสตร์มาเป็นอาวุธสำคัญที่สนับสนุนความคิด
นักเรียนเศรษฐศาสตร์หลายคนคงจะยังไม่ทราบว่า Edgeworth นี่เองที่เป็นผู้ประดิษฐ์เส้น Indifference Curve ในเรื่อง Utility ซึ่งเจ้าเส้น IC นี้แหละครับที่ทำให้ Alfred Marshall ใช้อธิบายที่มาของเส้นดีมานด์ที่ชื่อ Marshallian Demand อย่างไรก็ตาม แม้คนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนคิดเส้น IC แต่กล่องเจ้าปัญหาของเขาหรือ Edgeworth Box ก็ได้รับการจดจำในฐานะที่เป็นเครื่องมืออธิบายการแลกเปลี่ยนของผู้บริโภค 2 คน ที่มีสินค้า 2 ชนิด แล้วเอามาแลกกันจนกว่าจะได้รับความพอใจด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งแนวคิดการแลกกันหรือ Exchange / Trade กันนั้น ได้ถูกนำมา ต่อยอดอธิบายเรื่องของ General Equilibrium
ดังนั้น อย่าแปลกใจเลยครับเวลาที่เราเรียนเรื่อง General Equilibrium แล้วเราจะคุ้นเคยกับชื่อ Edgeworth Box , Walrasian Economy และ Pareto Optimal สำหรับผมแล้วสิ่งเหล่านี้ยังเป็นแฟนตาซีทางเศรษฐศาสตร์ที่ดูยังไงคนธรรมดาๆอย่างเราๆท่านๆคงไม่อยากคิดอะไรให้มันสลับซับซ้อนใช่มั๊ยครับ
Hesse004

No comments: