Apr 28, 2007

ศิลปะของ Charles Chaplin


ผมว่าความสุขอย่างหนึ่งของคนรักศิลปะ คือ การได้เขียนถึงสิ่งที่ตัวเองรัก สำหรับผมแล้ว, ศิลปะเป็นความบันเทิงที่ช่วยให้ผมหย่อนอารมณ์ได้ทุกครั้งและบางครั้งศิลปะยังทำให้ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์ทางอ้อมที่วิเศษจากชิ้นงานเหล่านั้น
จะว่าไปแล้วภาพยนตร์ก็จัดเป็นศิลปะประเภทหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมดูข่าวเรื่องที่ผู้กำกับหนังไทยหลายคนพยายามเรียกร้องให้รัฐบรรจุคำว่าภาพยนตร์เข้าไปในรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย แม้ว่าศิลปะจะถูกจัดให้เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยตามความคิดของนักเศรษฐศาสตร์ เพราะตัวเนื้องานศิลปะมีความยืดหยุ่นต่อรายได้สูง กล่าวคือ เวลาที่เรามีรายได้มาก เราก็อยากจะบันเทิงเริงรมย์สนุกสนาน ทำให้เราอยากเสพงานศิลปะทั้งดูหนัง ฟังเพลง หรือ แม้กระทั่งสะสมภาพเขียน แต่พอรายได้เราลดลง ความต้องการเหล่านี้ของเราดูจะฟุ่มเฟือยเกินไปเพราะต้องคำนึงถึงปากท้องเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามผมติดใจคำพูดของท่าน ศาสตรจารย์ศิลป์ พีรศรี บิดาศิลปะไทยสมัยใหม่ที่เคยกล่าวไว้ว่า “ชีวิตมนุษย์นั้นสั้นแต่ศิลปะนั้น ยืนยาว”
กลับมาที่เรื่องที่ผมอยากเขียนใน Blog นี้ต่อ, ผมเชื่อว่าหลายท่านคงรู้จัก Charles Chaplin และหลายท่านคงเคยผ่านตาหนังของเขามาบ้างแล้ว ในฐานะคนรักหนัง , ผมกำลังสะสมดีวีดี Charles Chaplin ซึ่งหาไม่ค่อยจะง่ายนัก ดีวีดีราคาลิขสิทธิ์ที่ผมทราบคือมีสนนราคาเหยียบหลักพัน หลายท่านคงสงสัยว่าทำไมคนถึงชอบหนังของ Chaplin กันนักหนา โดยส่วนตัวแล้ว ผมมีเหตุผลดังนี้ครับ
1. หนังของ Charles Chaplin เป็นหนังที่ดูเพลิน ไม่ต้องปีนกระได ไต่ภูเขาขึ้นไปดู เพื่อที่จะเข้าใจความคิดของผู้กำกับ โดยปกติแล้วสายหนังที่มาจากผู้กำกับยุโรปมักจะเป็นหนังที่ดูยาก พูดง่ายๆคือเป็นหนัง อาร์ต แต่สำหรับ หนังของChaplin แล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นอังกฤษชนโดยกำเนิดแต่ความที่ทำงานกับชาวอเมริกันมาตั้งแต่สมัยเริ่มดัง ทำให้เขาสามารถสื่อสารงานศิลปะของเขาได้อย่างเข้าอกเข้าใจ รสนิยมของคนดูหนังที่ต้องการเพียงแค่ความบันเทิง แต่อย่างไรก็ตามหนังของเขากลับแฝงไปด้วยปรัชญา ข้อคิดและมุมมองที่น่าสนใจหลายอย่างจนอาจกล่าวได้ว่า Charles Chaplin เป็นนักสังเกตการณ์ชั้นยอดของประวัติศาสตร์ศิลปะ
2. โดยบุคลิกการแสดงของ Charles Chaplin แล้ว เขาเป็นคนที่เกิดมาเพื่อสร้างความสุขให้กับคนอื่นโดยแท้จริง แม้ชีวิตจริงของเขาจะไม่ได้ตลกเหมือนในหนังก็ตาม
3. Charles Chaplin เป็นดาราตลกและเป็นผู้กำกับที่มีความเก่งกาจในการเรียกอารมณ์คนดูให้คล้อยตามกับการแสดงหรือบทที่เขากำกับได้ชนิดที่เรียกว่าจำได้ไม่มีวันลืม สิ่งเหล่านี้สะท้อนความเป็นอมตะของศิลปินผู้นี้
4. Charles Chaplin เป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่โดยแท้ เพราะเขาสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดจากระสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตผ่านตัวละครในภาพยนตร์ของเขา ซึ่งตามอัตชีวประวัติของเขา เขาได้เล่าไว้อย่างละเอียดถึงช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดในวัยเด็ก เรื่องราวการต่อสู้ชีวิตของแม่ ช่วงเวลาที่รุ่งเรืองในการทำงานกับสตูดิโอดังอย่าง Key Stone และ United Artist ผ่านมรสุมชีวิตในการใช้ชีวิตคู่เช่นเดียวกับศิลปินผู้โด่งดังทั้งหลาย ถูกภัยการเมืองคุกคามจนกระทั่งถูกตั้งข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ท้ายที่สุด Chaplin ก็ได้พิสูจน์ตัวเองในความเป็นของแท้ว่า สิ่งที่เขาเชื่อมั่นมาตลอดคือคุณงามความดีของมนุษย์ การมองโลกในแง่มุมที่รื่นรมย์อยู่เสมอแม้เวลาเจอภัยพิบัติ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้มักปรากฏ อยู่ในตัวของศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่ยังเชื่อมั่นความดีงามของมนุษย์แบบไม่ยโสโอหังต่อธรรมชาติ

ผมรู้จักหนังของ Charles Chaplin ตั้งแต่อยู่ชั้นประถม 4 ช่วงเวลานั้นวีดีโอกำลังเป็นที่นิยม ดังนั้นการได้ดูหนังของ Chaplin จึงเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับวัยเด็ก แทบทุกฉากในหนังModern Time ที่ Chaplin เป็นนักแสดงนำ เขียนบท และ กำกับ ยังคงจำตราตรึงใจของผมมาจนถึงทุกวันนี้ ภาพหนุ่มหนวดจิ๋มอารมณ์ดีที่มักเผชิญโชคร้ายอยู่เสมอในห้วงยามที่สังคมปั่นป่วนวุ่นวาย แต่สุดท้ายเขาก็เอาตัวรอดมาจนได้ด้วยการมองโลกในแง่ดี มองทุกอย่างว่าสามารถแก้ปัญหาได้ ไม่ท้อแท้กับการมีชีวิตอยู่ ไอเดียเหล่านี้ยังปรากฏในหนังเรื่อง City Light ที่ Chaplin ปลอบใจเศรษฐีขี้เหล้าว่า Be Brave and Face Life แม้จะเป็นหนังเงียบแต่วลีสั้นๆทั้งสองกลับทำให้ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นคำขวัญที่ดีได้สำหรับคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความทุกข์
สำหรับหนังเด่นๆที่ผมอยากแนะนำให้ท่านผู้อ่านลองไปหาชมกัน ได้แก่ Modern Time , City Light , Gold Rush และ The Kid หนังทั้ง 4 เรื่องที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นผลงานสุดยอดของ Chaplin ที่สะท้อนความคิดและจิตวิญญาณความเป็นศิลปินของเขาออกมาได้ดีที่สุด นอกจากนี้หนังแต่ละเรื่องสะท้อนสภาพสังคมอเมริกันในยุคที่กำลังก้าวไปสู่ทุนนิยมอย่างเต็มตัว แต่กลับขาดทุนทางสังคม อาทิ ความเอื้ออาทรต่อกัน ความมีน้ำใจ แม้กระทั่งความสามัคคี
Modern Time (1936)เป็นหนังที่เสียดล้อวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญในสหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษที่ 30 หนังทำให้เรารู้ว่าสมัยที่เกิด The Great Depression มันหนักหนาสาหัสอย่างไรในความรู้สึกของชาวอเมริกัน อย่างไรก็ตาม Chaplin ยังแสดงให้เห็นความหวังของการมีชีวิตอยู่ต่อไปในตอนจบของเรื่อง เมื่อเขาและนางเอกเดินควงคู่กันไปบนถนนที่ทอดยาวโดยมีดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินขับให้เห็นหนทางที่ยังไม่มืดมนไปเสียทีเดียว
City Light (1931) เป็นภาพสะท้อนความรักของชายจรจัดที่หลงรักหญิงสาวตาบอด โดย Chaplin พยายามทำทุกวิถีทางให้คนที่เขารักได้มองเห็นเป็นปกติ แม้ภายหลังเจ้าหล่อนจะมารู้ความจริงว่าชายจรคนนั้นไม่ใช่เทพบุตรอย่างที่คิดไว้ ฉากที่หญิงสาวจับมือของ Chaplin แล้วรู้ว่าคนที่ช่วยหล่อนมาตลอดเป็นแค่คนกระจอกงอกง่อยธรรมดา น่าจะเป็นฉากรักที่โรแมนติคฉากหนึ่ง พร้อมกับดนตรีคลาสสิคที่บรรเลงอย่างเนิบเนียนทำให้เราอดไม่ได้ที่จะมีน้ำตาคลอไปด้วย
Gold Rush (1925) เป็นหนังที่ฉายให้เห็นกระแสตื่นทองในอเมริกา ภาพของการตื่นทองของนักเผชิญโชคทำให้เห็นอัตตลักษณ์ความเป็นตัวตนของอเมริกันชนตั้งแต่สมัยนั้นแล้วว่าพวกเขาบูชาวัตถุ บูชาความร่ำรวบ มากน้อยเพียงไร กล่าวกันว่าฉากที่ Chaplin ใช้ส้อมจิ้มมันฝรั่งมาเต้นรำไปมานั้นเป็นฉากที่แสดงถึงอัจฉริยะความเป็นตลกของเขาได้ดีทีเดียว
The Kid (1920) นับเป็นหนังน่าประทับใจอีกเรื่องหนึ่งที่ Chaplin แสดงคู่กับ Jackie Coogan ดาราเด็กชื่อดังสมัยนั้น หนังว่าด้วยเรื่องของ Chaplin ที่ต้องรับบทเป็นพ่อบุญธรรมจำเป็นเพื่อเลี้ยงเด็กที่ถูกแม่นำมาทิ้งไว้ ตลอดเวลาเขาได้เลี้ยงดูเด็กคนนี้เป็นอย่างดี อบรมสั่งสอนแต่สิ่งที่ดี ผมสังเกตอยู่อย่างหนึ่งเวลาดูหนังของ Chaplin คือเขามักจะแทรกความเรียบง่ายลงไปในฉากธรรมดา อย่างเช่น ฉากที่เขาสอนให้เด็กน้อยสวดมนต์ขอบคุณพระเจ้าก่อนกินอาหาร แม้ว่าอาหารที่อยู่บนโต๊ะจะไม่ได้วิเศษวิโสอะไรนัก แต่ Chaplin ต้องการให้เด็กสำนึกถึงคุณค่าที่มีต่อสิ่งต่างๆรอบตัว ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเล็กน้อยเพียงใด
ผมยังรักที่จะดูหนังของ Charles Chaplin อยู่ เพราะทุกครั้งที่ผมเปิดดูผมรู้สึกรื่นรมย์กับชิ้นงานศิลปะเหล่านี้ และด้วยความที่เป็นหนังเงียบทำให้เราสามารถสังเกตอิริยาบถของตัวแสดงได้ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้เป็นศิลปะที่ปรากฏในหนังของ Charles Chaplin ซึ่งยากนักที่จะหาใครมาทดแทนเขาได้
Hesse004

1 comment:

Unknown said...

ต้วน..

อ่านแล้วเพลินดีครับ ต้วนเขียนเก่ง แล้วก็ทำให้คนอย่างผม ที่ไม่รักการอ่าน สามารถนั่งอ่านได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ..

จริง ๆ ตอนนี้ผมกำลัง Download เรื่อง Modern Time (1936) อยู่ ไฟล์ AVI ขนาด 692 MB แต่ตะกี๊ โทรหาต้วน ต้วนบอกว่าต้วนมีแล้ว...

เอาเป็นว่า ถ้าต้วนยังขาดและต้องการเรื่องไหน ที่ต้วนยังหาไม่ได้ ก็บอกผมมาละกัน เดี๋ยวผมจะลองหาจากเพื่อนทาง internet ที่เค้า Share file ไว้ให้นะครับ...