Dec 27, 2009

Love Actually รักแท้นั้นคืออะไร?





เอนทรี่ส่งท้ายปีนี้ ขออนุญาตเขียนเรื่องเบาๆเกี่ยวกับหนังรักอย่าง Love Actually (2003) ซึ่งดูจะเข้ากับบรรยากาศช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีได้เป็นอย่างดีนะครับ

Love Actually เป็นหนังรักโรแมนติคคอมเมดี้สไตล์อังกฤษซึ่งเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของ ริชาร์ด เคอร์ติส (Richard Curtis) เจ้าพ่อเขียนบทหนังรักโรแมนติคอมเมดี้อย่าง Four Weddings and a Funeral (1994), Notting Hill (1999) และ Bridget Jones ‘s Diary (2001)

Love Actually เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของคนหลายคนไล่ตั้งแต่รักของเด็ก รักของผู้ใหญ่ รักของนักร้อง รักของนักเขียน รักของสาวโสด รักของนายกรัฐมนตรี รักของสาวใช้ รักแบบ “ชู้” รวมไปถึงรักสามเส้า ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าโลกใบนี้ยังมีเรื่อง “ความรัก”เล่าให้ฟังกันอยู่เสมอนะครับ

เคอร์คิสประสบความสำเร็จจากการเล่าเรื่องความรักของชายหนุ่มที่อยากแต่งงานมีชีวิตคู่หลังจากไปงานแต่งงานเพื่อนมาหลายงานใน Four Weddings and a Funeral เช่นเดียวกับที่เขาทำให้รักของดอกฟ้ากับนายกระจอกเกิดขึ้นได้ใน Notting Hill นอกจากนี้เขายังเข้าใจอารมณ์หญิงโสดอย่าง Bridget Jones จนส่งให้ Bridget Jones ‘s Diary กลายเป็นหนังรักอมตะครองใจสาวโสดไปในบัดดล

เคอร์ติสดูจะมีความเข้าใจในเรื่อง “อารมณ์รัก” เป็นอย่างดีนะครับเพราะเขาสามารถถ่ายทอดเรื่องราวความรักของผู้คนออกมาในรูปแบบที่ทำให้คนดู “อมยิ้ม” ได้เสมอ ซึ่งผมว่าตรงนี้เป็น “เสน่ห์” สำคัญที่สุดของหนังรักโรแมนติคคอมเมดี้เลยก็ว่าได้

บางทีการทำหนังรักดีๆออกมาสักเรื่องนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้นางเอกหรือพระเอกที่สวยหล่อเพียงอย่างเดียว เพราะองค์ประกอบของหนังรัก คือ การทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ว่าพวกเขาสามารถ “อิน” เข้าไปอยู่ในอารมณ์ของตัวละครนั้นได้เหมือนกัน ซึ่ง Love Actually ประสบความสำเร็จในการจัดวางองค์ประกอบตรงนี้ได้ลงตัวเลยทีเดียว

นอกจากนี้ Love Actually ไม่ได้พยายาม “ยัดเยียด” นิยามรักของคนทำหนังว่าต้องเป็นอย่างไร หรือ จะบอกว่าคุณค่าของความรักที่แท้จริงนั้นมันสูงส่งมากน้อยแค่ไหน หากแต่หนังเรื่องนี้ได้เล่าถึงชีวิตของคนหลายคนที่ต้องเผชิญกับ“ความรัก” ไล่ตั้งแต่การแสวงหาไขว่คว้าความรักของสาวโสด ความพยายามที่จะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองที่รู้สึกว่าไป “แอบรักแฟนเพื่อน”เข้าให้แล้ว หรือจะเป็นการทำความเข้าใจกับอารมณ์ที่สูญเสียคนรักไปทั้งในเชิงการ “ลาเป็น” และ “ลาตาย” เป็นต้น

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เคอร์ติสได้ร้อยเรียงเรื่องรักให้มาอยู่เรื่องเดียวกันใน Love Actually ครับ ซึ่งดูเหมือนเขาจะชี้ให้เห็นว่าจริงๆแล้วไอ้เรื่องของความรักเนี่ยมันก็มีอยู่รอบตัวเรานั่นแหละ เพียงแต่คนส่วนใหญ่มักจะมองแบบแยกส่วนคือมองเฉพาะเรื่องของตัวเองซึ่งหากมองแบบองค์รวมแล้วจะเห็นว่าทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่เผชิญกับเรื่องราวของความรักด้วยกันทั้งนั้น

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะได้ยินเพลงอย่าง Love is All Around (1994) ของคณะ Wet Wet Wet ปรากฏอยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วยซึ่งเพลงนี้เคยเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Four Weddings and a Funeral มาแล้วครับ

จะว่าไปแล้วเรื่องราวใน Love Actually ของเคอร์ติสนั้น ทำให้ผมนึกถึงรายการวิทยุรายหนึ่งที่ชื่อ Club Friday ซึ่งจัดอยู่ที่คลื่นกรีนเวฟช่อง 106.5 ช่วงคืนวันศุกร์เวลาตั้งแต่สามทุ่มถึงห้าทุ่ม รายการนี้มีพี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) และดีเจอ้อย (นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล) เป็นผู้ดำเนินรายการครับ โดยในทุกๆศุกร์ Club Friday จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักของคนทางบ้านที่โทรเข้ามาเล่าเรื่องรักให้ฟังอยู่เสมอ

แต่เท่าที่ผมสังเกตส่วนใหญ่แล้วเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักมักจะกลายเป็น “ศาลาคนเศร้า” กันไป นั่นหมายถึงว่าเรื่องส่วนใหญ่มักจะเป็นรักที่ไม่สมหวังนะครับ

ฟังเรื่องราวจาก Club Friday ทำให้คิดได้ว่าในชีวิตคนเรานั้นจะต้องมีช่วงเวลาหนึ่งที่ได้สัมผัสกับอารมณ์ที่เรียกว่า “รัก” เพียงแต่ว่าเราจะเจออารมณ์นั้นในรูปแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นรักครั้งแรกไปจนถึงรักครั้งสุดท้าย รักแบบเพื่อน รักแบบแอบกิ๊ก รักแบบแฟน รักแบบคู่รัก รักแบบคู่ชีวิต รักอย่างคนเป็นพ่อเป็นแม่ รักลูก(ให้ถูกทาง)รักด้วยความห่วงใย ปรารถนาดี ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าอารมณ์แบบนี้มันเป็นอารมณ์ที่ทำให้มนุษย์เรา “อิ่มเอม” ใจและมีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตกันต่อไป

แต่ในมุมกลับกันชีวิตเราก็ต้องมีช่วงหนึ่งที่รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “ผิดหวัง” กับความรักได้เหมือนกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเจออารมณ์นั้นในแบบไหน ไล่ตั้งแต่อารมณ์อกหัก รักคุด มือที่สาม แอบรักเขา รักเขาข้างเดียว รักสามเส้า ไปจนกระทั่งรักแบบผิดศีลธรรมด้วยการมี “ชู้” ซึ่งไอ้อารมณ์แบบนี้มันกลายเป็นอารมณ์ที่บั่นทอนชีวิตเราได้เหมือนกันนะครับและบ่อยครั้งที่หลายคนไม่สามารถผ่านอารมณ์เหล่านี้ไปได้

โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าความรักเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตนะครับ แต่ความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเรา และแน่นอนที่สุดว่าเราต้องรักตัวเองเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว การรักตัวเองที่ไม่ใช่ “การเห็นแก่ตัว” นะครับ บางทีการรู้จัก “รักตัวเองให้เป็น” ก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตด้วยเหมือนกัน และนอกจากจะรักตัวเองให้เป็นแล้วผมว่าเราควรที่จะฝึก “รักคนอื่นให้เป็นด้วย” อีกด้วยนะครับ

แต่จะว่าไปแล้วพวกเราส่วนใหญ่น่าจะเคยสอบตกวิชา “รักคนอื่นให้เป็น” กันมาแล้วนะครับ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใดหรอกครับเพราะบ่อยครั้งที่เราไม่สามารถจัดวางความรักที่มีต่อตัวเองและความรักที่มีต่อคนอื่นได้อย่างสมดุล เพราะบางทีเราก็รักตัวเองมากจนเกินไปจนทำให้เราคาดหวังกับคนอื่นไว้มากว่าเขาจะต้องเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ เขาจะต้องทำให้เราพอใจหรือมีความสุขเสมอ ซึ่งเวลาไม่ได้ดั่งใจแล้ว เราก็มานั่งทุกข์ใจเสียใจซึ่งมันก็มาจากการที่เรารักตัวเองมากจนเกินไปนั่นเอง

หรือบางทีเรากลับไปรักคนอื่นมากจนเกินไปจนลืมที่จะรักตัวเอง ลืมแม้แต่ความเป็นตัวของตัวเองว่าอยู่ตรงไหน ซึ่งเมื่อเรารักคนอื่นมากจนเกินไปเราก็จะกลายเป็น “ทาส” ของความรักขาดอิสรภาพที่แท้จริงของชีวิตเพราะทุกอย่าง “ขึ้นอยู่” กับคนที่เรารักไปเสียทั้งหมด

ทั้งหมดที่เล่ามาดูเหมือนคำว่า “รักแท้” นั้นมันมีนัยยะมากกว่าการให้เพียงอย่างเดียวนะครับ หรือเพราะเรื่องรักมันมีอะไรมากมายเกินกว่าที่มนุษย์อย่างเราๆจะเข้าใจมันได้ หากไม่รู้จักลงมือที่จะ “รัก”

จวนจะสิ้นปีแล้ว ผมว่าเป็นโอกาสอันดีนะครับที่ทำให้เราหันกลับมาทบทวนสิ่งต่างๆในรอบปีที่ผ่านมาว่าเราสามารถจัดสมดุลของความรักที่มีอยู่นั้นให้กับตัวเองและคนรอบข้างได้ดีพอหรือยัง เผื่อปีหน้าเราอาจจะได้เจอสิ่งที่เรียกว่า “รักแท้” อย่างที่เพลงเค้าร้องไว้ก็ได้นะครับ

…สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าครับ

Hesse004

Dec 13, 2009

ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง “สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย” แล้วหรือยัง?





สืบเนื่องมาจากความล้มเหลวของทีมฟุตบอลชายไทยในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 25 ทำให้แฟนบอลส่วนใหญ่เริ่มตั้งคำถามแล้วว่า “สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย” นั้นจะมีวิธีการอย่างไรเพื่อเรียก “ศรัทธา” บอลไทยให้กลับคืนมา

โดยส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าเราควรจะตั้งคำถามต่ออีกเช่นกันว่า “แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลาเปลี่ยนแปลงสมาคมฟุตบอลซะที”

“สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์” ก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2459 หรือเมื่อ 93 ปีที่แล้ว และเข้าเป็นสมาชิกฟีฟ่าเมื่อปี พ.ศ. 2468 โดยเป็นประเทศที่สองของทวีปเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า (แต่ยังไม่เคยไปเล่นฟุตบอลโลก)

สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยมีหน้าที่ดูแลและบริหารทีมฟุตบอลชาติไทยทั้งชายและหญิงตั้งแต่ชุดใหญ่ไปยันชุดเยาวชน ด้วยเหตุนี้เองสมาคมฟุตบอลจึงได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในฐานะที่เป็นองค์กรหนึ่งที่มีส่วนในการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ

ปัจจุบันสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารงานของ “สภากรรมการบริหารกิจการ” โดยมีสำนักเลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยที่เปรียบเสมือนเป็นแม่บ้านคอยจัดการงานภายในสมาคม

ภายใต้การทำงานของสภากรรมการบริหารกิจการสมาคมมี “นายวรวีร์ มะกูดี” เป็นนายกสมาคมและมี “นายองอาจ ก่อสินค้า” เป็นเลขาธิการสมาคม นอกจากนี้ในสภากรรมการบริหารยังแยกฝ่ายการทำงานออกเป็น ฝ่ายจัดการแข่งขัน, ฝ่ายการตลาดและสิทธิประโยชน์, ฝ่ายต่างประเทศ, ฝ่ายสวัสดิการและพัฒนาสโมสร, ฝ่ายพัฒนาภูมิภาค, ฝ่ายพัฒนาเยาวชนระดับรากหญ้า, ฝ่ายพัฒนาเทคนิค และฝ่ายกิจกรรมพิเศษ ทั้งนี้แต่ละฝ่ายจะมี “อุปนายก” เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินงาน

นอกจากนี้สมาคมยังแต่งตั้ง “นายทะเบียน” หนึ่งคน “เหรัญญิก” หนึ่งคน และกรรมการกลางอีกแปดคน ขณะเดียวกันสมาคมยังต้องทำหน้าที่หา “ผู้จัดการทีมและผู้ฝึกสอน” ให้แก่ทีมชาติไทยแต่ละชุด

ปัจจุบันทีมชาติไทยมีทั้งหมดสิบสองชุดครับ ประกอบไปด้วย ทีมชาติไทยชุดใหญ่, ทีมชาติไทยชุดโอลิมปิค, ทีมชาติไทยชุดซีเกมส์, ทีมชาติไทยชุดเยาวชนอายุระหว่าง 18-20 ปี, ทีมชาติไทยชุดเยาวชนอายุระหว่าง 15-17 ปี, ทีมชาติไทยชุดเยาวชนอายุระหว่าง 12-14 ปี, ฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยชุดใหญ่, ฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยชุดเยาวชนอายุระหว่าง 18-20 ปี, ฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยชุดเยาวชนอายุระหว่าง 15-17 ปี, ทีมฟุตซอลทีมชาติไทย, ทีมฟุตซอลชิงแชมป์อาเซียน และทีมฟุตซอลหญิงทีมชาติไทย (ข้อมูลจาก http://www.fat.or.th/web/commitee.php )

จะเห็นได้ว่าสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเป็นสมาคมใหญ่ที่ต้องทำหน้าที่บริหารจัดการควบคุมดูแลฟุตบอลทีมชาติไทยทั้งชายหญิงทุกชุด ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลโดยตัวเลขงบประมาณล่าสุดปี 2553 ที่สมาคมได้รับจัดสรรจากสำนักงบประมาณคือ 205 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนและพัฒนาฟุตบอลไทย

นอกจากนี้ในปีหน้าสมาคมยังได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลใน “โครงการต้นกล้าอาชีพฟุตบอล” อีก 99 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนานักฟุตบอลไทยที่มีอายุระหว่าง 15-28 ปี เพื่อก้าวสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

สมาคมฟุตบอลยังต้องทำหน้าที่จัดการแข่งขันต่างๆภายในประเทศซึ่งปัจจุบันมีทั้งสิ้นสิบรายการได้แก่ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ, ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก , ข, ค และ ง รวมไปถึงฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก, ฟุตบอลไทยแลนด์ดิวิชั่น 1 ,ฟุตบอลอาชีพลีกภูมิภาคดิวิชั่น 2, และมูลนิธิไทยคม เอฟเอ คัพ

ขณะเดียวกันสมาคมยังต้องจัดส่งทีมฟุตบอลทีมชาติไทยทุกชุดเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติในแต่ละรายการอย่างฟุตบอลซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ โอลิมปิคเกมส์ อาเซียนคัพ เอเชียนคัพ แต่ทัวร์นามเนต์ที่ถือว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดของสมาคมฟุตบอลคือ “ฟุตบอลโลก”

อย่างไรก็ตามผลงานของสมาคมฟุตบอลในอดีตที่ผ่านมาเป็นอย่างไรนั้น ผมว่าทุกท่านก็คงทราบกันดีอยู่แล้วนะครับ

น่าสนใจว่าเมื่อกีฬาฟุตบอลกลายเป็นกีฬาที่มีความสำคัญกับ “ความปรารถนาอย่างแรงกล้า” ของคนไทยแล้ว การติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับสมาคมฟุตบอลจึงได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ ลองเปรียบเทียบดูนะครับว่าทุกคนรู้จักชื่อ “คุณวรวีร์” ในฐานะนายกสมาคมฟุตบอลมากกว่าที่จะรู้จักชื่อของนายกสมาคมกีฬาท่านอื่นๆ

เมื่อความสำคัญมันดูจะมากมายขนาดนี้แล้ว มิพักต้องเอ่ยถึง “สปอนเซอร์” ที่ตั้งใจจะสนับสนุนเงินอัดฉีดคนละหลายสิบล้านบาท ทุกวันนี้สมาคมฟุตบอลยังสามารถให้สปอนเซอร์อย่าง “แมคโดนัลด์” เข้ามาขายของกินในสนามได้อีกด้วย และที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือ การห้ามไม่ให้แฟนบอลเอาเครื่องดื่มหรืออาหารที่ซื้อเตรียมไว้เข้าไปในสนามในวันที่พวกเขาต้องการไปเชียร์ทีมชาติไทยลงเตะ

ผมไม่แน่ใจว่านโยบายดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ที่แน่ๆ วันที่ทีมชาติไทยลงเตะกับลิเวอร์พูลช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แฟนบอลไม่สามารถเอาอาหารหรือน้ำดื่มเข้าไปในสนามได้ ซึ่งถ้าใครซื้อมาแล้วก็ต้องทิ้งไว้หน้าสนามโดยภายในสนามนั้นมีซุ้มขายเบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์ยืนรอ “ผูกขาด” ขายน้ำและของกินอยู่แล้ว

เท่าที่ผมทราบมาเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อตอนที่บอลไทยเตะกับสิงคโปร์เมื่อช่วงเดือนที่แล้ว ทั้งนี้ผมไม่คิดว่าสมาคมฟุตบอลจะหาประโยชน์กับสปอนเซอร์โดยใช้วิธีแบบนี้ผลักภาระให้กับแฟนบอล

ผมเชื่อว่าการตกรอบแรกฟุตบอลซีเกมส์หนนี้ นอกจากจะทำให้เรา “ตื่น” จากฝันลมๆแล้งแล้ว เราน่าจะเริ่มตั้งคำถามกับสมาคมผู้รับผิดชอบว่า “พวกคุณกำลังทำอะไรกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยอยู่หรือครับ”

ทุกวันนี้ไม่มีใครสามารถ “ตรวจสอบ” การทำงานของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้เลย อย่างดีที่สุดก็แค่การประเมินผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่การกีฬาแห่งประเทศไทยต้องทำอยู่แล้วเพื่อดูว่าการของบประมาณแต่ละสมาคมนั้นสอดคล้องกับผลงานที่เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า

มิพักต้องเอ่ยถึง “สื่อกระแสหลัก” ของวงการกีฬาบ้านเรา ที่น่าจะรู้กันดีว่ามีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ่งกับผู้บริหารสมาคมนี้กันขนาดไหน ดังนั้นสื่อเหล่านี้จึงไม่อยากจะวิจารณ์การทำงานของสมาคมมากนัก เข้าทำนองว่าถ้า “หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ” ด้วย

คิดไปคิดมาค่อนข้าง “วังเวง” พอสมควรนะครับ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่าสภาบริหารกิจการของสมาคมฟุตบอลนั้นควรจะมี “พันธะสัญญา” หรือ Commitment กับรัฐบาลที่เอาเงินภาษีประชาชนมาจัดสรรเงินงบประมาณให้

โดยในพันธะสัญญาดังกล่าวควรระบุในตอนท้ายว่า…

หากพวกกระผมไม่สามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมายที่ตัวเองสัญญาไว้กับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยแล้ว พวกกระผมและคณะยินดีที่จะแสดงความรับผิดชอบ (Accountability) ด้วยการลาออกเพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นที่มีความสามารถมากกว่านี้เข้ามาทำงาน”

Hesse004

Dec 12, 2009

“ฟุตบอลทีมชาติไทย” ในฐานะสมบัติของชาติ





ดูเหมือนกีฬาซีเกมส์หนนี้จะ “กร่อย” ลงไปถนัดตาเลยนะครับ หลังจากที่ทีมฟุตบอลชายไทยตกรอบแรกในรอบสามสิบหกปีโดยครั้งสุดท้ายที่ทีมไทยจอดป้ายแค่รอบแรก คือ ซีเกมส์ เมื่อปี พ.ศ. 2516 ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นกีฬาแหลมทองอยู่เลยครับ

ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ดูเหมือนจะยิ่งตอกย้ำว่าทีมฟุตบอลชายไทยนั้นไม่ได้เป็น “เบอร์หนึ่ง” ของอาเซียนอย่างที่เคยอวดอ้างกันไว้

ทัวร์นาเมนต์อย่างอาเซียนคัพและซีเกมส์เป็นตัวชี้วัดได้ดีว่าทีมอย่าง เวียดนาม สิงค์โปร์ หรือแม้แต่ “ลาว” กำลังไล่กวดตำแหน่ง “เต้ย” ลูกหนังในดินแดนแถบนี้ หลังจากที่ทีมชาติไทยผูกขาดนอนกอดแชมป์ซีเกมส์มาแปดสมัยซ้อน

ความล้มเหลว คือ จุดเริ่มต้นของการทบทวนสิ่งต่างๆที่ผ่านมา แต่ที่แน่ๆก็คือมันเป็นตัวชี้วัดที่ดีว่าใครสามารถบริหารสมาคมฟุตบอลของชาตินั้นๆได้มีประสิทธิภาพมากกว่ากัน

ผู้บริหารสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยสมควรที่จะแสดงความรับผิดชอบอะไรสักอย่างหนึ่งในฐานะที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ “ผิดหวัง” ซึ่งแน่นอนที่สุดตามธรรมเนียมการหาแพะนั้น โค้ชใหญ่อย่างนายสตีฟ ดาร์บี้ (Steve Darby) คือ แพะฝรั่ง (Scapegoat) ตัวแรกที่จะถูกนำมาสังเวยความล้มเหลวครั้งนี้

“สตีฟ ดาร์บี้” เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูลครับ ในอดีตเคยเล่นฟุตบอลในตำแหน่งผู้รักษาประตูสังกัดทีมสำรองสโมสรทรานส์เมียร์ โรเวอร์ (Tranmere Rovers)

ดาร์บี้เริ่มต้นการคุมทีมครั้งแรกกับสโมสรซิดนีย์ โอลิมปิค (Sydney Olympic) ในออสเตรเลีย ก่อนจะย้ายมาคุมทีมยะโฮร์ เอฟเอ (Johor FA) ในมาเลเซียและพาทีมประสบความสำเร็จในฟุตบอลถ้วย Malaysia FA Cup หลังจากนั้นย้ายมาเป็นนายใหญ่ทีมโฮม ยูไนเต็ด (Home United)ในสิงค์โปร์ โดยสร้างชื่ออยู่กับ Home United พักหนึ่งก่อนจะย้ายกลับไปคุมทีมในมาเลเซียอย่างเปรัก เอฟเอ (Perak FA)

ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้วดาร์บี้เองก็มีประสบการณ์การคุมทีมในย่านอาเซียนมากพอสมควรดังนั้นเขาน่าจะรู้ดีว่าตำแหน่ง “แชมป์ฟุตบอลซีเกมส์”นั้นมันมีความหมายกับแฟนฟุตบอลในแถบนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะลำพังในระดับเอเชียแล้วทีมในย่านนี้คงยากที่จะทาบรัศมีได้

ดาร์บี้เข้ามาช่วยปีเตอร์ รีด (Peter Reid) ทำทีมชาติไทยชุดใหญ่เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก่อนที่รีดจะเปิดตูดหนีกลับอังกฤษไปช่วยโทนี่ พูริส (Tony Pulis) คุมสโต๊ค ซิตี้ ด้วยเหตุนี้เองดาร์บี้จึงต้องกลายเป็นกุนซือขัดตาทัพคุมทีมยู 23 ของไทยไปแข่งกีฬาซีเกมส์ที่เวียงจันทน์ ท่ามกลางการตั้งความหวังกับการเป็นแชมป์สมัยที่เก้าของทีมฟุตบอลชาติไทย

อย่างที่ทราบกันแล้วนะครับว่าผลงานของดาร์บี้กับทีมชาติไทยที่เขาคุมทัพไปนั้นชนะได้เพียงสองทีมคือกัมพูชากับติมอร์ ส่วนเวียดนามกับมาเลเซียนั้นทีมของดาร์บี้ไม่สามารถเอาชนะได้และเป็นเหตุให้ทีมฟุตบอลชายไทยร่วงตกรอบแรกชนิด “ช็อค” กันไปทั้งบาง

หากวิเคราะห์กันถึงความล้มเหลวชนิดไม่เป็นท่านั้นก็คงมองได้หลายเหตุผล เริ่มตั้งแต่ความไม่พร้อมของการทำทีมชาติชุดนี้ซึ่งว่ากันว่ามีเวลาซ้อมเพียง 17 วันเท่านั้น ทั้งที่รู้ว่าทัวร์นาเมนต์นี้มันมีความสำคัญกับคนไทยมากขนาดไหน

ขณะเดียวกันการให้เหตุผลว่าเพราะนักเตะเหนื่อยล้ามาจากฟุตบอลไทยแลนด์ลีกที่เพิ่งจบฤดูกาลนั้นทำให้การเตรียมทีมทำได้ไม่เต็มที่ เหตุผลเช่นนี้ผมคิดว่าเป็นเหตุผลที่ “แย่ที่สุด” เท่าที่เคยได้ยินมาครับ

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าปัญหามันอยู่ที่การบริหารจัดการทีมมากกว่าแม้กระทั่งตอนนักเตะไปรายงานตัวยังไม่มีคนของสมาคมไปดูแลเลย ซึ่งหากพวกท่านไม่สามารถทำได้ดีพอก็ขอความกรุณาให้คนอื่นที่มีความสามารถมากกว่านี้เข้ามาช่วยจัดการเถอะครับ เพราะทีมฟุตบอลชายไทยเป็น “สมบัติ”ของคนไทยทุกคน

นอกจากเหตุผลเรื่องความไม่พร้อมแล้ว เหตุผลในเรื่อง “สปิริต” ของนักฟุตบอลทีมชุดนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่ถูกวิจารณ์มากพอสมควร เพราะเท่าที่ดูมาตลอดสี่เกมผมว่านักฟุตบอลชุดนี้ดูจะขาดความกระหายและความกระตือรือร้นที่จะเล่นฟุตบอลทัวร์นาเมนต์นี้ ว่ากันว่าทีมฟุตบอลชายไทยเป็นทีมที่ได้รับเงินอัดฉีดมากที่สุดแต่ดูเหมือนว่านักเตะบางคนคงเห็นเป็นเพียงทัวร์นาเมนต์ “ของตาย” ที่ยังไงเราก็ไม่พลาดเพราะเราเหนือกว่าทุกชาติในอาเซียนอยู่แล้ว นั่นคือ “ทัศนคติ” ของนักเตะไทยที่ดูจะหลงเหลิงกับคำว่าเบอร์หนึ่งของอาเซียน

อย่างไรก็ตามขออนุญาตยกเว้นนักเตะบางคนที่ทุ่มเทตลอดทั้งสี่เกมอย่าง กวิน ผู้รักษาประตู อนาวิน ปีกขวา หรือ อดุล มิดฟิลด์เกมรับ

ส่วนเหตุผลสุดท้ายผมคิดว่าทีมอื่นๆเขามีพัฒนาการไปข้างหน้าโดยเฉพาะสี่ทีมสุดท้ายอย่างเวียดนาม สิงค์โปร์ ลาว และมาเลเซีย ส่วนทีมชาติไทยยังย่ำอยู่กับที่และพร้อมเสมอที่จะถอยหลังเข้าคลอง

สาเหตุหนึ่งคงเพราะผู้บริหารสมาคมคิดว่าคนไทยลืมง่ายมั๊งครับ เลยไม่คิดจะจำบทเรียนแย่ๆที่ผ่านมาทั้งที่มันมีตัวอย่างความผิดพลาดให้เห็นกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไล่ตั้งแต่แมตช์อัปยศในศึกไทเกอร์คัพเมื่อปี 1996 ที่พยายามเล่นให้ “แพ้” อินโดนีเซียเพื่อหลีกไม่เจอเวียดนามเจ้าภาพในรอบรอง

หรือจะตกรอบแรกในศึกไทเกอร์คัพเมื่อปี 2004 ที่ทำเอาศรัทธาบอลไทยหายไปช่วงหนึ่ง หรือจะเป็นการชวดแชมป์อาเซียนคัพเมื่อปีที่แล้วหลังจากโดนเวียดนามบุกมาหักหน้าถึงสนามราชมังคลาฯ

"ฟุตบอลไทย"ก็เป็นอย่างนี้แหละครับ คือ “เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ” ผู้บริหารมิเคยสำเหนียกถึงหน้าที่ที่ตัวเองแบกรับอยู่ว่าคนไทยทั้งชาติเขาเฝ้ารอความสำเร็จของทีมชาติพวกเขามากขนาดไหน เพราะพวกคุณได้แต่สร้างความฝันลมๆแล้งๆว่า “ทีมชาติไทยจะไปฟุตบอลโลก”

อย่างไรก็ตามผมต้องขอบคุณที่ทีมชาติไทยที่เคยสร้างความสุขให้กับคนไทยมาตลอดสิบหกปีที่ได้แชมป์ซีเกมส์แปดสมัยซ้อนซึ่งทุกคนหวังเหมือนกันว่าทีมของเรากำลังก้าวไปสู่จุดที่ดีขึ้นเพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นเบอร์หนึ่งในภูมิภาคนี้แล้ว

ดังนั้นการจะฝันต่อว่าเราจะเป็นเบอร์ต้นๆของเอเชียก็คงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแต่ทั้งหมดเป็นแค่ “ภาพลวงตา” ที่ทำให้ทุกวันนี้เราต้องหันมายอมรับความจริงกันได้แล้วว่าเรายังไปไม่ถึงไหนเลยแต่คนอื่นเขาก้าวหน้าไปกว่าเราแล้ว

“ฟุตบอลทีมชาติไทย” เป็นสมบัติอย่างหนึ่งของคนทั้งชาตินะครับ มิใช่เป็นของคนกล่มใดกลุ่มหนึ่ง สมาคมฟุตบอลไทยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน นักฟุตบอลทีมชาติไทยลงแข่งขันในนามตัวแทนของคนไทยทั้งชาติ ด้วยเหตุนี้เองคนไทยทุกคนจึงตั้งความหวังไว้กับพวกคุณไว้มากและพร้อมจะเป็นกำลังใจให้กับพวกคุณเสมอแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2552 นั้นมันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกคุณรักษาสมบัติชิ้นนี้ของชาติได้มากน้อยแค่ไหน?

Hesse004