May 28, 2007

Escape from Hongkong Island เมื่อคราวซวยมาเยือน



วานก่อนผมมีโอกาสดูหนังฮ่องกงฟอร์มเล็กๆเรื่อง Escape from Hongkong Island หนังเรื่องนี้สร้างเมื่อปี 2004 มี Simon Lui (Yu – Yeung)เป็นมือเขียนบทและกำกับการแสดงเอง ส่วนนักแสดงนำหลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอย่าง Jordan Chan (Siu - Chun) ที่โด่งดังมาจากหนังบู๊ล้างผลาญสไตล์ฮ่องกง และ Chapman To (Man-Chat) จาก Infernal Affair
ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้อยู่ที่การบอกเล่าถึงความโคตรซวยของชายคนหนึ่งที่ชื่อ นายม่ายโต้ (Raymond Mak) , นำแสดงโดย Jordan Chan , หนังเริ่มต้นด้วยเช้าปกติธรรมดาของ ม่ายโต้ โดยที่คนดูค่อยๆรู้จักพฤติกรรมของนายคนนี้จากรูปแบบการใช้ชีวิต บุคลิกท่าทาง และคำพูดซึ่งเพียงไม่ถึงยี่สิบนาทีเราสามารถเข้าใจได้ว่า ไอ้ม่ายโต้คนนี้พี่แกเป็นมนุษย์ประเภทเชื่อมั่นในตัวเองสูง อวดดี ก้าวร้าว เจ้าอารมณ์และดูถูกคนอื่นอยู่เสมอ แน่นอนครับคนประเภทนี้ย่อมเชื่อว่าตัวเองเป็นคนเก่งมีความวิเศษวิโสอยู่ในตัว Simon Lui จงใจเขียนบทให้ม่ายโต้ทำงานในตลาดการเงินของฮ่องกง คล้ายๆกับหนังฝรั่งอย่าง Wall Street ผมเชื่อว่าภาพของคนทำงานในภาคการเงินส่วนใหญ่ค่อนข้างมีบุคลิกทันสมัยและว่องไวตลอดเวลาแต่ในมุมกลับกันมีความทะเยอทะยานไปจนกระทั่งก้าวร้าวก็มี สำหรับม่ายโต้, เขาเป็นสุดยอดโบรกเกอร์ของตลาดหุ้นในเกาะฮ่องกง ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของนายคนนี้ดูจะเพียบพร้อมจนน่าอิจฉาไปเสียทุกอย่างทั้งเรื่องเงินทอง หน้าที่การงาน และผู้หญิง
แต่แล้วเช้าวันนั้นโลกของม่ายโต้ก็เปลี่ยนไป เช้าที่เร่งรีบของสังคมเมือง ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาที่จะไปทำงานให้ทัน ไม่มีใครสนใจใยดีใคร ผมนึกถึงตัวเองในวันที่เร่งรีบไปทำงานต้องกระเสือกกระสนแย่งกับคนอื่นเพื่อขึ้นรถตู้หรือรถไฟฟ้า บ่อยครั้งผมรู้สึกว่ายิ่งคนมากเท่าไร เรากลับยิ่งเหงามากขึ้น กลับมาที่หนังต่อครับ ในเช้าวันนั้นม่ายโต้พบชายแปลกหน้าแต่งตัวดีใส่สูทผูกไทด์แบบเขาแต่ดันเข้ามาขอตังค์เขาแค่ 3 เหรียญเพื่อจะข้ามฟากไปฝั่งเกาลูน ชายคนนั้นอ้างว่าถูกขโมยกระเป๋าไม่มีเงินติดตัวเลยสักแดงเดียว ม่ายโต้มองหน้าชายคนนั้นอย่างเหยียดๆและไม่มีทีท่าจะใส่ใจกับความทุกข์ของชายแปลกหน้านั้นแต่อย่างใด นี่แหละครับคือบททดสอบความเอื้ออาทรของฟ้าที่มักส่งมาให้มนุษย์ไม่ทันได้ตั้งตัวอยู่เสมอ มันเป็นบททดสอบง่ายๆที่ถูกส่งลงมาวัดความเมตตาของมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นถ้าเบื้องบนท่านตรวจข้อสอบข้อนี้ แน่นอนครับว่านายคนนี้สอบตก
เมื่อม่ายโต้มาถึงที่ทำงาน เขาพบว่าตัวเองถูกไล่ออกจากงานเพราะเจ้านายใหญ่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมกร่างของเขากับทุกคนไม่เว้นแม้แต่เจ้านาย ด้วยความที่เขาเชื่อว่ากูแน่ เขาจึงไม่สนใจกับการไล่ออกแถมยังโทรศัพท์หาบริษัทคู่แข่งที่อยู่ฝั่งเกาลูนเพื่อตอบรับข้อเสนอที่เขาจะไปนั่งเป็นบอสใหม่ที่นั่น หนังมาถึงจุดสำคัญแล้วครับ เมื่อนายคนนี้ออกมาจากบริษัทเพื่อจะเดินทางไปเซ็นสัญญากับบริษัทใหม่ที่ฝั่งเกาลูน ปรากฏว่าเขาถูกจี้ครับ พอผมเล่ามาถึงตรงนี้หลายท่านคงพอเดาเรื่องได้แล้วใช่มั๊ยครับว่าไอ้ม่ายโต้มันจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
ผู้กำกับหนังทำให้เราเห็นชะตากรรมของคนเคยรวยที่ต้องกระเสือกกระสนขอเงินคนอื่นแค่ 3 เหรียญ เพียงเพื่อจะข้ามฝั่งไปเกาลูน แต่การณ์กลับไม่ง่ายอย่างที่คิดสิครับ บทเรียนดังกล่าวทำให้ม่ายโต้รู้ว่าเขาไม่เป็นที่พึงปราถนาของคนใกล้ตัวเลย ไล่ไปตั้งแต่เพื่อนที่ไม่มีใครจริงใจกับเขาเลยสักคน เพราะเขาเลือกที่จะไม่จริงใจกับคนเหล่านี้ก่อน พอมาถึงแฟน ,ไอ้หมอนี่ก็ดันไปทำเจ้าชู้ใส่ผู้หญิงหลายคนและที่แสบกว่านั้นคือดันแอบไปอึ๊บเพื่อนของแฟนตัวเองซะอีก พอย้อนกลับมาที่ครอบครัว หนังพาให้เราเห็นความเห็นแก่ตัวของม่ายโต้มากขึ้น เพราะเขาส่งแม่ไปอยู่สถานเลี้ยงดูคนชรา แถมแม่ยังเป็นอัลไซเมอร์โดยที่เขาไม่เคยดูดำดูดีเลย พี่สาวพี่ชายก็มีฐานะต่างกับม่ายโต้ชนิดหน้ามือกับหลังเท้า ความที่ไม่เอาพี่เอาน้องเลยจึงทำให้ไม่มีใครคิดอยากจะช่วยเหลือม่ายโต้เลยสักคน
ม่ายโต้พยายามหาทุกวิธีเพื่อจะให้ได้เงินมาแค่ 3 เหรียญ แต่จนแล้วจนรอดโชคชะตาก็ดูเหมือนจะเล่นตลกและสอนให้เขาเรียนรู้อะไรๆจากวันที่โคตรซวยและไม่เป็นใจ อ้อ! ผมลืมเล่าถึงตัวละครอีกตัวนั่นคือ Chapman To หมอนี่เล่นเป็นตำรวจฮ่องกง บทบาทของแกดูขรึมๆไม่เหมือนที่เล่นเป็นเพื่อนพระเอกใน Infernal affair หนังใช้ให้ตำรวจเป็นตัวแทนของผู้รักษากฎที่พยายามทำทุกอย่างให้อยู่ในความเรียบร้อย เช่น คุณตำรวจแนะนำให้ม่ายโต้ไปแจ้งทำบัตรประชาชนชั่วคราวเพื่อขอข้ามฟากแต่ด้วยความที่ม่ายโต้ดันขี้เกียจไปยืนต่อคิว แกเลยเลือกที่จะไม่ทำบัตรและหาวิธีอื่นที่ลัดกว่านี้
ผมหยิบหนังเรื่องนี้มาดูด้วยความบังเอิญ เพราะครั้งแรกที่เห็นแผ่นหนัง ผมไม่รู้สึกอยากดูแต่อย่างใด คงเพราะเบื่อกับหนังตลกฮ่องกงบ้าๆบอๆ แต่พอดูไปสักพักผมเริ่มคิดแล้วว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรดีๆแฝงอยู่ไม่น้อย หลังปี 1997เกาะฮ่องกง เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างโดยเฉพาะความแปลกแยกของคนฮ่องกงกับคนจีนแผ่นดินใหญ่ คนฮ่องกงยังคุ้นเคยกับความเป็นอังกฤษชนซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่แตกต่างกับชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้มีอะไรหลายอย่างดูจะประดักประเดิดใจอยู่ไม่น้อยในทัศนคติของคนฮ่องกง นอกจากนี้สภาพความเป็นเมืองการค้าการลงทุน ทำให้เกาะฮ่องกงไม่ต่างอะไรกับนิวยอร์ค ลอนดอนหรือแม้กระทั่งโตเกียว โลกในเมืองเหล่านี้ดูจะหมุนไวกว่าโลกในทิเบตหรือภูฎาน เหมือนที่ผมบอกไปตอนต้นว่ายิ่งคนเยอะเรายิ่งเหงา
ผมเชื่อเสมอว่าความเอื้ออาทรกันของคนเป็นการสะสมทุนทางสังคมที่ดีอย่างหนึ่ง การช่วยเหลือซึ่งกันและกันบนฐานของความจริงใจเป็นการลด Transaction Cost ของการดำเนินชีวิต สังคมเอเชียสมัยใหม่กำลังก้าวย่างตามรอยสังคมตะวันตกที่ชอบบอกตัวเองว่ากูนั้นศิวิไลซ์แล้ว แต่ความจำเริญทางวัตถุกลับทำให้บางอย่างของความเป็นมนุษย์ของเราหายไป โดยเฉพาะการใส่ใจซึ่งกันและกัน
ผมดูเรื่องนี้จบด้วยความอิ่มเอม และอยากจะเขียนแนะนำหนังเรื่องนี้ บางทีเราแต่ละคนอาจจะเจอเหตุการณ์แบบม่ายโต้ก็ได้นะครับที่อยู่ดีๆฟ้าได้ส่งบททดสอบอะไรบางอย่างมาให้เราลองฝึกทำดูเล่นๆ
Hesse004

No comments: