Jun 26, 2010

Facebook โลกส่วนตัวที่คนอื่นมองเห็น




ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่ท่องเน็ตอยู่เป็นประจำ อย่างน้อยที่สุดต้องมี “อีเมล์” เป็นของตัวเองกันบ้างล่ะครับ โดยส่วนตัวผมชอบเรียกอีเมล์ว่า “จดหมายไฟฟ้า” พอ ๆ กับอาม่าของผมที่ท่านเรียกมันว่า “อีแมว” ครับ

นอกจากอีเมล์แล้ว หลายท่านนิยมที่จะเขียนบล็อก บางท่านมีบล็อกเป็นของตัวเองที่หมั่น “อัพบล็อก” ให้เพื่อนฝูงอ่านอยู่เป็นประจำ (แม้เพื่อนหมดความรำคาญไปแล้วเพราะส่งมาถี่เหลือเกิน)

สำหรับผมแล้วนิยมการเขียนบล็อกมากที่สุดครับ เพราะนอกจากจะเป็นพื้นที่ได้ “ฝึกมือ”แล้ว การเขียนบล็อกและการอ่านบล็อกของคนอื่นยังเป็นการประดับความรู้แบบ “ลำลอง” ที่ไม่ต้องปีนกระไดทางวิชาการมากจนเกินไป

อย่างไรก็ตามตอนนี้ผมกำลังหลงเข้าไปสู่สังคมเครือข่ายออนไลน์ (Social Networking) ชื่อดังนามว่า “Facebook” ครับ

การหลุดเข้าไปในสังคม Facebook หรือ fb คงมิใช่ความบังเอิญเป็นแน่แท้ เพราะเมื่อเกือบสองปีมาแล้ว ผมรู้จัก fb จากเพื่อนชาวอินโดนีเซียเมื่อครั้งที่ไปอบรมคอร์ส Economics of Corruption ที่เยอรมัน

เพื่อนอินโดถามผมว่า Do you have Facebook account?

ผมเองทำหน้างง ๆ กับไอ้คำหลัง ก่อนถามกลับออกไปด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแต้จิ๋วว่า

What is a Facebook?

เท่านั้นแหละครับ เพื่อนอินโดก็เริ่มสาธยายถึงสังคมเครือข่ายออนไลน์ที่มี Facebook เป็นหัวหอกในการเชื่อมโยงผู้คนให้เข้ามา “จอย” กันบนโลกอินเตอร์เน็ต

ก่อนหน้านี้ผมคุ้นเคยกับเว็บลักษณะ Social Networking อย่าง “ไฮไฟว์” (Hi5) หรือ “ฮิห้า” ที่คุณโน้ต อุดม แกเรียก

ในสังคมไฮไฟว์ ผมก็แอบมีบัญชีกับเขาด้วยเหมือนกัน แต่รู้สึกไม่นิยมเล่นเพราะดูแล้วจะพ้นวัยอย่างเรา ๆ ไปแล้ว

ภาพ fb กับภาพ Hi5 ในสายตาของผมดูจะไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกนะครับ เพราะดูเหมือนจะเป็นแหล่งรวมของเด็กวัยรุ่นเจเนอเรชั่น Y (คนที่เกิดช่วงปี 1981-1994)หรือ Z (คนที่เกิดช่วงปี 1995-2007)

อย่างไรก็ตามหลังจากพลัดหลงเข้ามาเล่นในสังคม Facebook แล้ว น่าแปลกที่ว่าคนเล่น fb ส่วนหนึ่งที่ผม Add เป็นเพื่อนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนเจเนอเรชั่น X (คนที่เกิดช่วงปี 1965-1980) เช่นเดียวกับผมครับ

Facebook นั้นถือกำเนิดจากเด็กมหาวิทยาลัย Harvard สุดเนิร์ด 4 คน คือ Mark Zuckerberg, Dustin Moskovitz, Eduardo Saverin และ Chris Hughes ครับ โดยทั้งสี่ได้สร้าง Facebook ขึ้นมาเพื่อใช้ในการสื่อสารเฉพาะนักศึกษาของฮาวาร์ดเท่านั้น ก่อนจะขยายตัวไปสู่นักศึกษาในอเมริกาทั่วประเทศ จนกระทั่งเมื่อปี 2006 Facebook จึงปรากฏกายสู่สายตาของนักท่องเน็ตทั่วโลก

ว่ากันว่าทุกวันนี้ Facebook กำลังเดินตามรอยความสำเร็จของ Google โดยมี Sergey Brin และ Lawrence E.Page หรือ แลรี่ เพจ เป็นโมเดลของไทคูนยุคใหม่ และล่าสุดตัว Mark Zuckerberg เองก็ติดอันดับมหาเศรษฐีที่มีอายุน้อยที่สุดในโลกไปแล้วจากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes ครับ

ในปีแรกที่ Facebook เปิดตัวนั้น ยักษ์ใหญ่อย่าง Yahoo พยายามจะขอซื้อ Facebook ในราคาพันล้านเหรียญดอลลาร์แต่ตัว Zuckerberg เองแกไม่ยอมขายครับ ซึ่งก็คิดถูกแล้วเพราะทุกวันนี้มูลค่าของ Facebook พุ่งไปกว่าหมื่นล้านเหรียญแล้ว

ในเว็บไซด์ Wikipedia ได้พูดถึงที่มาของ Facebook ไว้ว่ามาจากหนังสือที่ใช้แจกสำหรับนักศึกษาฮาวาร์ดที่เรียนมหา’ลัยปีแรกครับ โดยใน Facebook นี้จะมีทั้งชื่อและรูปของเพื่อนที่เข้าเรียนด้วยเพื่อให้เด็กปีหนึ่งสามารถจดจำรูปหน้าค่าตากันได้

ปัจจุบันเจ้า Facebook เนี่ยแหละครับที่เข้ามาครองบทบาทหลักในสังคมเครือข่ายออนไลน์ เพราะลำพัง Email ธรรมดาเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารจำเพาะตัวผู้ใช้ที่ไม่สามารถแสดงออกซึ่งโลกส่วนตัวให้คนอื่นรับรู้ได้ เว้นแต่เราจะ Fwd จดหมายไฟฟ้าฉบับนั้นไปให้ใครต่อใครได้อ่าน

ความพิเศษของ Facebook คือ การเปิดโลกส่วนตัวให้คนอื่นมิตรสหายที่เรา Add เค้าเป็นเพื่อนได้มองเห็นความรู้สึก (What is in your mind?) ว่าตอนนี้เพื่อนคุณหรือคุณกำลังคิดอะไรอยู่และอยากจะแบ่งปัน (Share) ให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย

นอกจากนี้เจ้า Facebook ยังสามารถหาเพื่อนและนำพาเพื่อนเก่าสมัยประถม มัธยม มหา’ลัย ที่จากกันไปนานแสนนาน ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมคนรุ่น Generation X อย่างผม จึงเริ่มติดเจ้า Facebook งอมแงม

Facebook เองยังเปิดพื้นที่ให้เราอัพโหลดคลิปที่เราชอบ บทความ ข้อเขียนต่าง ๆ หรือแม้แต่รูปภาพของเราให้คนอื่นได้เห็นกันด้วย ซึ่งจะว่าไปไอ้พื้นที่ส่วนตัวของเราและของเพื่อนเนี่ยแหละครับที่ทำให้ Facebook สามารถสร้างสังคมเครือข่ายออนไลน์ขึ้นมาได้

น่าสนใจเหมือนกันนะครับว่าหลังเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองไทยในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา Facebook ได้กลายเป็นเวทีแสดงออกประมาณว่า “มั่นใจว่าคนไทยเกินล้าน….” ก็ว่ากันไป ซึ่งนี่คือสีสันของ Facebook ที่สามารถนำพาคนที่ไม่รู้จักกันให้เข้ามาสู่ความสนใจเดียวกันได้

โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบ Facebook ในส่วนที่ทำให้ติดต่อเพื่อนเก่าที่ร้างกันไปหลายปี แถมยังได้รำลึกถึงความรู้สึกเก่า ๆ ประมาณ “ถวิลหาอดีต” (Nostalgia) ไม่ว่าจะคลิป MV เพลงสมัยวัยรุ่น คลิปโฆษณาเก่า ๆ หรือแม้แต่ภาพเก่า ๆ ที่เพื่อน ๆ ต่างขุดมา Tag อัลบั้มส่งให้กัน ซึ่งผมว่านี่คือความพิเศษของ Facebook นะครับ

มองในแง่ของภาษาที่ใช้ใน Facebook ก็น่ารักใช่ย่อยครับ กว่าเดือนที่ผมเล่น Facebook ผมพบว่าตัวเองคุ้นเคยกับภาษาใหม่ ๆ ของเด็กยุคนี้ อย่าง ใช่ป่ะ จิงอ่ะ เทอ ช่าย หรือแม้แต่ใช้สัญลักษณ์อย่าง ^^ ^0^ ^_^ เป็นต้น

แต่มีอยู่คำนึงที่ผมว่าน่ารักเอามาก ๆ คือ คำว่า “ชิมิ ชิมิ” ครับ

ท่านผู้อ่านคิดว่าหมายถึงอะไรเหรอครับ

ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าไอ้ “ชิมิ ชิมิ” เนี่ยถ้าออกเสียงแบบแอ๊บแบ๊วนิดนึงแล้วชักสีหน้าให้ตาโตทำปากเล็ก ๆ ก่อนเอียงคอเล็กน้อย แล้วพูด “ชิมิ ชิมิ” เนี่ยมันหมายถึง “ใช่มั๊ย ใช่มั๊ย” ครับ

แหม่ ! ช่างคิดกันจริง ๆ ว่าแล้วขออนุญาตล็อคอินเข้าไปดูโลกส่วนตัวของเพื่อนฝูงเสียหน่อยครับ เผื่อมีอะไรได้เมาท์ ได้เมนท์
ชิมิ ชิมิ...หล่ะตัวเอง ^^

Hesse004

Jun 18, 2010

“เข็มทิศชีวิต” การปฏิบัติธรรมของคนยุคใหม่






กระบวนหนังสือเบสต์เซลเลอร์ที่เราเห็นวางขายตามร้านหนังสือดูเหมือนหนังสือแนวการปฏิบัติธรรมสมัยใหม่จะได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อยนะครับ

และหากจะว่าไปแล้วในยุคสมัยของการบริโภคนิยม แม้ว่าเราจะมีสิ่งต่าง ๆ มาบำเรอตอบสนองความสุขของเราอยู่ตลอดเวลา แต่น่าแปลกที่ว่าทำไมเราถึงไม่รู้จักคำว่า “พอ” แถมยังพยายามโหยหาความสุขที่แท้จริงว่ามันอยู่ตรงไหนกันแน่?
ด้วยเหตุนี้แหละครับที่มันทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้มันคล้ายกับอะไรสักอย่างหนึ่งที่ “เบาหวิว” และพร้อมจะล่องลอยไปได้เรื่อย ๆ แล้วแต่กระแสลมจะพาไป

ไอ้ความเบาหวิวที่ว่านี้ทำให้ผมนึกถึงสัญลักษณ์ที่ปรากฏในหนังอยู่สองเรื่องครับ เรื่องแรกผมนึกถึง “ขนนก” ในหนังเรื่อง Forrest Gump (1994) ของ โรเบิร์ต เซเมคิส (Robert Zemekis) ส่วนอีกเรื่องผมนึกถึง “ถุงก๊อบแก๊บ” ที่ลอยเคว้งในหนังเรื่อง American Beauty (1999) ของ แซม เมนเดส (Sam Mendes) ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้สามารถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์มาครองได้

สัญลักษณ์ทั้งสองอย่างไม่ว่าจะเป็น “ขนนก” หรือ “ถุงก๊อบแก๊บ” นั้น หากพิจารณากันให้ดี ๆ แล้วมันทำให้อดคิดไม่ได้ว่าการมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้มันจำเป็นหรือเปล่าที่ต้องมี “เข็มทิศ” นำทางให้กับชีวิต

หนังสือเรื่อง “เข็มทิศชีวิต” ของคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง นับเป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งนะครับที่ว่าด้วยเรื่องการรู้จักใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับหลักธรรมของพุทธองค์

ทุกวันนี้การปฏิบัติธรรมของคนเมืองสมัยใหม่ดูจะให้ความสำคัญกับการรู้เท่าทันและ “ตามสติ” ของตนเองให้ทันเป็นหลัก และหากจะว่าไปแล้วในสังคมเมืองพุทธของเรา เรามี “ทุนทางธรรม” (Dhamma Capital) ที่แข็งแกร่งทั้งจากพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าจะเป็น “สายพระป่า” อย่างพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร หลวงพ่อชา สุภัทโธ หรือ “สายพระวิชาการ” อย่างท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านเจ้าคุณปยุต (ป.อ. ปยุตโต) ท่านเจ้าคุณปัญญานันทภิกขุ

นอกจากนี้เรายังมีพระสงฆ์รุ่นใหม่ที่รับไม้ต่อในการเผยแพร่พระธรรมอย่างเข้มแข็ง อย่าง ท่าน ว.วชิรเมธี หลวงพ่อปราโมช ปาโมชโช หลวงพ่อมิตซูโอะ คเวสโก พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล เป็นต้น

ทั้งหลายทั้งปวงนี้จะเห็นได้ว่าบ้านเราเต็มไปด้วย “ทุนทางธรรม” จนเกือบจะเรียกได้ว่า “สมบูรณ์” อย่างมาก หากเราเพียงแค่หันมาสนใจศึกษาและปฏิบัติอย่างตั้งใจ

ด้วยเหตุนี้เองสิ่งที่คุณฐิตินาถ นำมาถ่ายทอดลงในหนังสือ “เข็มทิศชีวิต” นั้น คือ การพยายามใช้ทุนทางธรรมเหล่านี้มาพัฒนาซอฟต์แวร์ของพวกเราที่เรียกว่า “จิตใจ” ให้มีความเข้มแข็งและพร้อมที่จะอยู่บนโลกนี้ได้ด้วยฐานของความสุขอย่างแท้จริงที่เรียกว่า “ความสงบ” ไงล่ะครับ

อย่างที่หลายท่านทราบกันดีว่าทุกวันนี้เรามักจะพูดกันว่า “ยิ่งวัตถุพัฒนาไปไกล แต่จิตใจกลับเสื่อมถอยลงรวดเร็ว” ทั้งนี้ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันมาจากอานุภาพของ “ความสะดวกสบาย” หรืออานุภาพของ “ความเร็ว” หรือเปล่าที่ทำให้คนเราทุกวันนี้ไม่เรียนรู้ที่จะ “รอคอย” ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองได้รับเพราะทุกอย่างดูง่ายและสะดวกสบายไปเสียหมด

แม้ว่าจะมองอีกมุมหนึ่งว่า “ความเร็ว” ช่วยในการลดต้นทุนและประหยัดเวลาซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดของชีวิตมนุษย์นั้น แต่ก็น่าคิดนะครับว่าไอ้คำว่า “เวลา” ที่ว่ามานี้มันคือ สิ่งสมมติขึ้นมาหรือเปล่า นาฬิกาที่เราใส่ดูเวลาทุกวันนี้มันคือ “เรื่องสมมติ” ขึ้นมาอีกหรือเปล่า

แต่บางเรื่องก็ไม่น่าจะคิดไกล หรือ ตั้งคำถามกันไปเสียขนาดนั้นหรอกนะครับ เพราะทั้งหมดที่เราเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการเรียนรู้และเข้าใจชีวิตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้กระทั่งวันที่เรา “ตาย”

“ความตาย” ในวันสุดท้าย ชั่วโมงสุดท้าย นาทีสุดท้ายและวินาทีสุดท้าย ก็คืออีกหนึ่งบทเรียนนะครับที่ทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้ว่าชีวิตที่เกิดมานี้แท้จริงแล้วอาจจะไม่มีอะไรมากนัก “แค่อยู่ให้ดี มีความสุข ทำความเข้าใจกับตัวเองและสังคมรอบข้าง” เพราะเดี๋ยวเราก็ไม่อยู่แล้ว เหมือนปรัชญาหนังกำลังภายในที่บอกไว้ว่า “ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า”

เมื่อเริ่มคิดได้เช่นนี้ไอ้ภาวะที่เรียกว่า “ปลงก่อนตาย” มันก็คงเกิดขึ้นนะครับ การปลงและวางอย่างเข้าใจ ดูเหมือนว่าชีวิตก็น่าจะจากไปอย่าง “สงบ” ได้

ที่เขียนมานี้ใช่ว่าผมจะทำได้หรอกนะครับ เพียงแต่จะพยายามหัดทำ เพราะถ้าไม่ฝึกหัดกันเลย เดี๋ยวเวลาจากโลกนี้ไปแบบ “กะทันหัน” เดี๋ยวมันจะคิดไม่ทันล่ะสิครับ

นี่เองมั๊งครับที่พุทธองค์ท่านถึงให้เราหมั่น “เจริญสติ” กันอยู่ตลอดเวลา การเจริญสติ คือ รู้และเท่าทันในความคิด เท่าทันในลมหายใจว่า เออตอนนี้กูกำลังคิดอะไรอยู่นะ แน่นอนที่สุดแหละครับว่าไอ้จิตใจเรานี่แหละที่มันมักจะ “ฟุ้ง” ลอยไปไหนมาไหนอยู่เสมอ

การประคับประคองจิตหรือเลี้ยงอารมณ์ให้มันคงเส้นคงวานั้น คุณประโยชน์อย่างหนึ่งมันจะทำให้เราใช้ชีวิต “ผิดพลาด” น้อยลง

หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือเรื่องเข็มทิศชีวิตของคุณฐิตินาถ ผมขออนุญาตสรุปสั้น ๆ ว่าคุณฐิตินาถพยายามจะบอกพวกเราถึงการใช้ชีวิตอย่างมี “สติ” เพราะ สติ คือ เข็มทิศสำคัญที่นำพาให้ชีวิตเราอยู่ด้วยความปรกติสุข” ครับ

ไอ้ความ “ปรกติสุข” นี้แหละครับที่คือสิ่งที่ชีวิตคนทั่วไปต้องการ ถ้าเรียกแบบนักเรียนเศรษฐศาสตร์อย่างผม ก็คงหนีไม่พ้น “ภาวะดุลยภาพ” ของการใช้ชีวิต

ท้ายที่สุดการปฏิบัติธรรมคงไม่ใช่เพียงแค่แฟชั่นของการนุ่งขาวห่มขาว เดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือพูดจาแต่ธรรมะเพียงอย่างเดียวหรอกนะครับ เพราะสิ่งที่ว่ามาทั้งหมดมันคือองค์ประกอบของการปฏิบัติธรรม แต่สาระของการปฏิบัติธรรมนั้นมันน่าจะอยู่ที่ว่าเราสามารถที่จะเข้าใจตัวเองและภาวะของโลกที่เราเผชิญได้อย่างแท้จริงหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นโลกียสุขหรือโลกุตรสุข

และจะดีไม่น้อยถ้าเรารู้สึก “ปล่อย “และ “วาง” ให้เป็น และจะดียิ่งเข้าไปอีกถ้าเราสามารถ “ปลด” และ “ปลง” ให้ได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอกครับ แต่มันคงไม่ช้าเกินไปหากเราจะเริ่มต้นลองฝึกดู

Hesse004