Dec 27, 2009

Love Actually รักแท้นั้นคืออะไร?





เอนทรี่ส่งท้ายปีนี้ ขออนุญาตเขียนเรื่องเบาๆเกี่ยวกับหนังรักอย่าง Love Actually (2003) ซึ่งดูจะเข้ากับบรรยากาศช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีได้เป็นอย่างดีนะครับ

Love Actually เป็นหนังรักโรแมนติคคอมเมดี้สไตล์อังกฤษซึ่งเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของ ริชาร์ด เคอร์ติส (Richard Curtis) เจ้าพ่อเขียนบทหนังรักโรแมนติคอมเมดี้อย่าง Four Weddings and a Funeral (1994), Notting Hill (1999) และ Bridget Jones ‘s Diary (2001)

Love Actually เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของคนหลายคนไล่ตั้งแต่รักของเด็ก รักของผู้ใหญ่ รักของนักร้อง รักของนักเขียน รักของสาวโสด รักของนายกรัฐมนตรี รักของสาวใช้ รักแบบ “ชู้” รวมไปถึงรักสามเส้า ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าโลกใบนี้ยังมีเรื่อง “ความรัก”เล่าให้ฟังกันอยู่เสมอนะครับ

เคอร์คิสประสบความสำเร็จจากการเล่าเรื่องความรักของชายหนุ่มที่อยากแต่งงานมีชีวิตคู่หลังจากไปงานแต่งงานเพื่อนมาหลายงานใน Four Weddings and a Funeral เช่นเดียวกับที่เขาทำให้รักของดอกฟ้ากับนายกระจอกเกิดขึ้นได้ใน Notting Hill นอกจากนี้เขายังเข้าใจอารมณ์หญิงโสดอย่าง Bridget Jones จนส่งให้ Bridget Jones ‘s Diary กลายเป็นหนังรักอมตะครองใจสาวโสดไปในบัดดล

เคอร์ติสดูจะมีความเข้าใจในเรื่อง “อารมณ์รัก” เป็นอย่างดีนะครับเพราะเขาสามารถถ่ายทอดเรื่องราวความรักของผู้คนออกมาในรูปแบบที่ทำให้คนดู “อมยิ้ม” ได้เสมอ ซึ่งผมว่าตรงนี้เป็น “เสน่ห์” สำคัญที่สุดของหนังรักโรแมนติคคอมเมดี้เลยก็ว่าได้

บางทีการทำหนังรักดีๆออกมาสักเรื่องนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้นางเอกหรือพระเอกที่สวยหล่อเพียงอย่างเดียว เพราะองค์ประกอบของหนังรัก คือ การทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ว่าพวกเขาสามารถ “อิน” เข้าไปอยู่ในอารมณ์ของตัวละครนั้นได้เหมือนกัน ซึ่ง Love Actually ประสบความสำเร็จในการจัดวางองค์ประกอบตรงนี้ได้ลงตัวเลยทีเดียว

นอกจากนี้ Love Actually ไม่ได้พยายาม “ยัดเยียด” นิยามรักของคนทำหนังว่าต้องเป็นอย่างไร หรือ จะบอกว่าคุณค่าของความรักที่แท้จริงนั้นมันสูงส่งมากน้อยแค่ไหน หากแต่หนังเรื่องนี้ได้เล่าถึงชีวิตของคนหลายคนที่ต้องเผชิญกับ“ความรัก” ไล่ตั้งแต่การแสวงหาไขว่คว้าความรักของสาวโสด ความพยายามที่จะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองที่รู้สึกว่าไป “แอบรักแฟนเพื่อน”เข้าให้แล้ว หรือจะเป็นการทำความเข้าใจกับอารมณ์ที่สูญเสียคนรักไปทั้งในเชิงการ “ลาเป็น” และ “ลาตาย” เป็นต้น

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เคอร์ติสได้ร้อยเรียงเรื่องรักให้มาอยู่เรื่องเดียวกันใน Love Actually ครับ ซึ่งดูเหมือนเขาจะชี้ให้เห็นว่าจริงๆแล้วไอ้เรื่องของความรักเนี่ยมันก็มีอยู่รอบตัวเรานั่นแหละ เพียงแต่คนส่วนใหญ่มักจะมองแบบแยกส่วนคือมองเฉพาะเรื่องของตัวเองซึ่งหากมองแบบองค์รวมแล้วจะเห็นว่าทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่เผชิญกับเรื่องราวของความรักด้วยกันทั้งนั้น

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะได้ยินเพลงอย่าง Love is All Around (1994) ของคณะ Wet Wet Wet ปรากฏอยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วยซึ่งเพลงนี้เคยเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Four Weddings and a Funeral มาแล้วครับ

จะว่าไปแล้วเรื่องราวใน Love Actually ของเคอร์ติสนั้น ทำให้ผมนึกถึงรายการวิทยุรายหนึ่งที่ชื่อ Club Friday ซึ่งจัดอยู่ที่คลื่นกรีนเวฟช่อง 106.5 ช่วงคืนวันศุกร์เวลาตั้งแต่สามทุ่มถึงห้าทุ่ม รายการนี้มีพี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) และดีเจอ้อย (นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล) เป็นผู้ดำเนินรายการครับ โดยในทุกๆศุกร์ Club Friday จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักของคนทางบ้านที่โทรเข้ามาเล่าเรื่องรักให้ฟังอยู่เสมอ

แต่เท่าที่ผมสังเกตส่วนใหญ่แล้วเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักมักจะกลายเป็น “ศาลาคนเศร้า” กันไป นั่นหมายถึงว่าเรื่องส่วนใหญ่มักจะเป็นรักที่ไม่สมหวังนะครับ

ฟังเรื่องราวจาก Club Friday ทำให้คิดได้ว่าในชีวิตคนเรานั้นจะต้องมีช่วงเวลาหนึ่งที่ได้สัมผัสกับอารมณ์ที่เรียกว่า “รัก” เพียงแต่ว่าเราจะเจออารมณ์นั้นในรูปแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นรักครั้งแรกไปจนถึงรักครั้งสุดท้าย รักแบบเพื่อน รักแบบแอบกิ๊ก รักแบบแฟน รักแบบคู่รัก รักแบบคู่ชีวิต รักอย่างคนเป็นพ่อเป็นแม่ รักลูก(ให้ถูกทาง)รักด้วยความห่วงใย ปรารถนาดี ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าอารมณ์แบบนี้มันเป็นอารมณ์ที่ทำให้มนุษย์เรา “อิ่มเอม” ใจและมีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตกันต่อไป

แต่ในมุมกลับกันชีวิตเราก็ต้องมีช่วงหนึ่งที่รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “ผิดหวัง” กับความรักได้เหมือนกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเจออารมณ์นั้นในแบบไหน ไล่ตั้งแต่อารมณ์อกหัก รักคุด มือที่สาม แอบรักเขา รักเขาข้างเดียว รักสามเส้า ไปจนกระทั่งรักแบบผิดศีลธรรมด้วยการมี “ชู้” ซึ่งไอ้อารมณ์แบบนี้มันกลายเป็นอารมณ์ที่บั่นทอนชีวิตเราได้เหมือนกันนะครับและบ่อยครั้งที่หลายคนไม่สามารถผ่านอารมณ์เหล่านี้ไปได้

โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าความรักเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตนะครับ แต่ความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเรา และแน่นอนที่สุดว่าเราต้องรักตัวเองเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว การรักตัวเองที่ไม่ใช่ “การเห็นแก่ตัว” นะครับ บางทีการรู้จัก “รักตัวเองให้เป็น” ก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตด้วยเหมือนกัน และนอกจากจะรักตัวเองให้เป็นแล้วผมว่าเราควรที่จะฝึก “รักคนอื่นให้เป็นด้วย” อีกด้วยนะครับ

แต่จะว่าไปแล้วพวกเราส่วนใหญ่น่าจะเคยสอบตกวิชา “รักคนอื่นให้เป็น” กันมาแล้วนะครับ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใดหรอกครับเพราะบ่อยครั้งที่เราไม่สามารถจัดวางความรักที่มีต่อตัวเองและความรักที่มีต่อคนอื่นได้อย่างสมดุล เพราะบางทีเราก็รักตัวเองมากจนเกินไปจนทำให้เราคาดหวังกับคนอื่นไว้มากว่าเขาจะต้องเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ เขาจะต้องทำให้เราพอใจหรือมีความสุขเสมอ ซึ่งเวลาไม่ได้ดั่งใจแล้ว เราก็มานั่งทุกข์ใจเสียใจซึ่งมันก็มาจากการที่เรารักตัวเองมากจนเกินไปนั่นเอง

หรือบางทีเรากลับไปรักคนอื่นมากจนเกินไปจนลืมที่จะรักตัวเอง ลืมแม้แต่ความเป็นตัวของตัวเองว่าอยู่ตรงไหน ซึ่งเมื่อเรารักคนอื่นมากจนเกินไปเราก็จะกลายเป็น “ทาส” ของความรักขาดอิสรภาพที่แท้จริงของชีวิตเพราะทุกอย่าง “ขึ้นอยู่” กับคนที่เรารักไปเสียทั้งหมด

ทั้งหมดที่เล่ามาดูเหมือนคำว่า “รักแท้” นั้นมันมีนัยยะมากกว่าการให้เพียงอย่างเดียวนะครับ หรือเพราะเรื่องรักมันมีอะไรมากมายเกินกว่าที่มนุษย์อย่างเราๆจะเข้าใจมันได้ หากไม่รู้จักลงมือที่จะ “รัก”

จวนจะสิ้นปีแล้ว ผมว่าเป็นโอกาสอันดีนะครับที่ทำให้เราหันกลับมาทบทวนสิ่งต่างๆในรอบปีที่ผ่านมาว่าเราสามารถจัดสมดุลของความรักที่มีอยู่นั้นให้กับตัวเองและคนรอบข้างได้ดีพอหรือยัง เผื่อปีหน้าเราอาจจะได้เจอสิ่งที่เรียกว่า “รักแท้” อย่างที่เพลงเค้าร้องไว้ก็ได้นะครับ

…สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าครับ

Hesse004

No comments: