Dec 12, 2009

“ฟุตบอลทีมชาติไทย” ในฐานะสมบัติของชาติ





ดูเหมือนกีฬาซีเกมส์หนนี้จะ “กร่อย” ลงไปถนัดตาเลยนะครับ หลังจากที่ทีมฟุตบอลชายไทยตกรอบแรกในรอบสามสิบหกปีโดยครั้งสุดท้ายที่ทีมไทยจอดป้ายแค่รอบแรก คือ ซีเกมส์ เมื่อปี พ.ศ. 2516 ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นกีฬาแหลมทองอยู่เลยครับ

ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ดูเหมือนจะยิ่งตอกย้ำว่าทีมฟุตบอลชายไทยนั้นไม่ได้เป็น “เบอร์หนึ่ง” ของอาเซียนอย่างที่เคยอวดอ้างกันไว้

ทัวร์นาเมนต์อย่างอาเซียนคัพและซีเกมส์เป็นตัวชี้วัดได้ดีว่าทีมอย่าง เวียดนาม สิงค์โปร์ หรือแม้แต่ “ลาว” กำลังไล่กวดตำแหน่ง “เต้ย” ลูกหนังในดินแดนแถบนี้ หลังจากที่ทีมชาติไทยผูกขาดนอนกอดแชมป์ซีเกมส์มาแปดสมัยซ้อน

ความล้มเหลว คือ จุดเริ่มต้นของการทบทวนสิ่งต่างๆที่ผ่านมา แต่ที่แน่ๆก็คือมันเป็นตัวชี้วัดที่ดีว่าใครสามารถบริหารสมาคมฟุตบอลของชาตินั้นๆได้มีประสิทธิภาพมากกว่ากัน

ผู้บริหารสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยสมควรที่จะแสดงความรับผิดชอบอะไรสักอย่างหนึ่งในฐานะที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ “ผิดหวัง” ซึ่งแน่นอนที่สุดตามธรรมเนียมการหาแพะนั้น โค้ชใหญ่อย่างนายสตีฟ ดาร์บี้ (Steve Darby) คือ แพะฝรั่ง (Scapegoat) ตัวแรกที่จะถูกนำมาสังเวยความล้มเหลวครั้งนี้

“สตีฟ ดาร์บี้” เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูลครับ ในอดีตเคยเล่นฟุตบอลในตำแหน่งผู้รักษาประตูสังกัดทีมสำรองสโมสรทรานส์เมียร์ โรเวอร์ (Tranmere Rovers)

ดาร์บี้เริ่มต้นการคุมทีมครั้งแรกกับสโมสรซิดนีย์ โอลิมปิค (Sydney Olympic) ในออสเตรเลีย ก่อนจะย้ายมาคุมทีมยะโฮร์ เอฟเอ (Johor FA) ในมาเลเซียและพาทีมประสบความสำเร็จในฟุตบอลถ้วย Malaysia FA Cup หลังจากนั้นย้ายมาเป็นนายใหญ่ทีมโฮม ยูไนเต็ด (Home United)ในสิงค์โปร์ โดยสร้างชื่ออยู่กับ Home United พักหนึ่งก่อนจะย้ายกลับไปคุมทีมในมาเลเซียอย่างเปรัก เอฟเอ (Perak FA)

ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้วดาร์บี้เองก็มีประสบการณ์การคุมทีมในย่านอาเซียนมากพอสมควรดังนั้นเขาน่าจะรู้ดีว่าตำแหน่ง “แชมป์ฟุตบอลซีเกมส์”นั้นมันมีความหมายกับแฟนฟุตบอลในแถบนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะลำพังในระดับเอเชียแล้วทีมในย่านนี้คงยากที่จะทาบรัศมีได้

ดาร์บี้เข้ามาช่วยปีเตอร์ รีด (Peter Reid) ทำทีมชาติไทยชุดใหญ่เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก่อนที่รีดจะเปิดตูดหนีกลับอังกฤษไปช่วยโทนี่ พูริส (Tony Pulis) คุมสโต๊ค ซิตี้ ด้วยเหตุนี้เองดาร์บี้จึงต้องกลายเป็นกุนซือขัดตาทัพคุมทีมยู 23 ของไทยไปแข่งกีฬาซีเกมส์ที่เวียงจันทน์ ท่ามกลางการตั้งความหวังกับการเป็นแชมป์สมัยที่เก้าของทีมฟุตบอลชาติไทย

อย่างที่ทราบกันแล้วนะครับว่าผลงานของดาร์บี้กับทีมชาติไทยที่เขาคุมทัพไปนั้นชนะได้เพียงสองทีมคือกัมพูชากับติมอร์ ส่วนเวียดนามกับมาเลเซียนั้นทีมของดาร์บี้ไม่สามารถเอาชนะได้และเป็นเหตุให้ทีมฟุตบอลชายไทยร่วงตกรอบแรกชนิด “ช็อค” กันไปทั้งบาง

หากวิเคราะห์กันถึงความล้มเหลวชนิดไม่เป็นท่านั้นก็คงมองได้หลายเหตุผล เริ่มตั้งแต่ความไม่พร้อมของการทำทีมชาติชุดนี้ซึ่งว่ากันว่ามีเวลาซ้อมเพียง 17 วันเท่านั้น ทั้งที่รู้ว่าทัวร์นาเมนต์นี้มันมีความสำคัญกับคนไทยมากขนาดไหน

ขณะเดียวกันการให้เหตุผลว่าเพราะนักเตะเหนื่อยล้ามาจากฟุตบอลไทยแลนด์ลีกที่เพิ่งจบฤดูกาลนั้นทำให้การเตรียมทีมทำได้ไม่เต็มที่ เหตุผลเช่นนี้ผมคิดว่าเป็นเหตุผลที่ “แย่ที่สุด” เท่าที่เคยได้ยินมาครับ

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าปัญหามันอยู่ที่การบริหารจัดการทีมมากกว่าแม้กระทั่งตอนนักเตะไปรายงานตัวยังไม่มีคนของสมาคมไปดูแลเลย ซึ่งหากพวกท่านไม่สามารถทำได้ดีพอก็ขอความกรุณาให้คนอื่นที่มีความสามารถมากกว่านี้เข้ามาช่วยจัดการเถอะครับ เพราะทีมฟุตบอลชายไทยเป็น “สมบัติ”ของคนไทยทุกคน

นอกจากเหตุผลเรื่องความไม่พร้อมแล้ว เหตุผลในเรื่อง “สปิริต” ของนักฟุตบอลทีมชุดนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่ถูกวิจารณ์มากพอสมควร เพราะเท่าที่ดูมาตลอดสี่เกมผมว่านักฟุตบอลชุดนี้ดูจะขาดความกระหายและความกระตือรือร้นที่จะเล่นฟุตบอลทัวร์นาเมนต์นี้ ว่ากันว่าทีมฟุตบอลชายไทยเป็นทีมที่ได้รับเงินอัดฉีดมากที่สุดแต่ดูเหมือนว่านักเตะบางคนคงเห็นเป็นเพียงทัวร์นาเมนต์ “ของตาย” ที่ยังไงเราก็ไม่พลาดเพราะเราเหนือกว่าทุกชาติในอาเซียนอยู่แล้ว นั่นคือ “ทัศนคติ” ของนักเตะไทยที่ดูจะหลงเหลิงกับคำว่าเบอร์หนึ่งของอาเซียน

อย่างไรก็ตามขออนุญาตยกเว้นนักเตะบางคนที่ทุ่มเทตลอดทั้งสี่เกมอย่าง กวิน ผู้รักษาประตู อนาวิน ปีกขวา หรือ อดุล มิดฟิลด์เกมรับ

ส่วนเหตุผลสุดท้ายผมคิดว่าทีมอื่นๆเขามีพัฒนาการไปข้างหน้าโดยเฉพาะสี่ทีมสุดท้ายอย่างเวียดนาม สิงค์โปร์ ลาว และมาเลเซีย ส่วนทีมชาติไทยยังย่ำอยู่กับที่และพร้อมเสมอที่จะถอยหลังเข้าคลอง

สาเหตุหนึ่งคงเพราะผู้บริหารสมาคมคิดว่าคนไทยลืมง่ายมั๊งครับ เลยไม่คิดจะจำบทเรียนแย่ๆที่ผ่านมาทั้งที่มันมีตัวอย่างความผิดพลาดให้เห็นกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไล่ตั้งแต่แมตช์อัปยศในศึกไทเกอร์คัพเมื่อปี 1996 ที่พยายามเล่นให้ “แพ้” อินโดนีเซียเพื่อหลีกไม่เจอเวียดนามเจ้าภาพในรอบรอง

หรือจะตกรอบแรกในศึกไทเกอร์คัพเมื่อปี 2004 ที่ทำเอาศรัทธาบอลไทยหายไปช่วงหนึ่ง หรือจะเป็นการชวดแชมป์อาเซียนคัพเมื่อปีที่แล้วหลังจากโดนเวียดนามบุกมาหักหน้าถึงสนามราชมังคลาฯ

"ฟุตบอลไทย"ก็เป็นอย่างนี้แหละครับ คือ “เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ” ผู้บริหารมิเคยสำเหนียกถึงหน้าที่ที่ตัวเองแบกรับอยู่ว่าคนไทยทั้งชาติเขาเฝ้ารอความสำเร็จของทีมชาติพวกเขามากขนาดไหน เพราะพวกคุณได้แต่สร้างความฝันลมๆแล้งๆว่า “ทีมชาติไทยจะไปฟุตบอลโลก”

อย่างไรก็ตามผมต้องขอบคุณที่ทีมชาติไทยที่เคยสร้างความสุขให้กับคนไทยมาตลอดสิบหกปีที่ได้แชมป์ซีเกมส์แปดสมัยซ้อนซึ่งทุกคนหวังเหมือนกันว่าทีมของเรากำลังก้าวไปสู่จุดที่ดีขึ้นเพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นเบอร์หนึ่งในภูมิภาคนี้แล้ว

ดังนั้นการจะฝันต่อว่าเราจะเป็นเบอร์ต้นๆของเอเชียก็คงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแต่ทั้งหมดเป็นแค่ “ภาพลวงตา” ที่ทำให้ทุกวันนี้เราต้องหันมายอมรับความจริงกันได้แล้วว่าเรายังไปไม่ถึงไหนเลยแต่คนอื่นเขาก้าวหน้าไปกว่าเราแล้ว

“ฟุตบอลทีมชาติไทย” เป็นสมบัติอย่างหนึ่งของคนทั้งชาตินะครับ มิใช่เป็นของคนกล่มใดกลุ่มหนึ่ง สมาคมฟุตบอลไทยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน นักฟุตบอลทีมชาติไทยลงแข่งขันในนามตัวแทนของคนไทยทั้งชาติ ด้วยเหตุนี้เองคนไทยทุกคนจึงตั้งความหวังไว้กับพวกคุณไว้มากและพร้อมจะเป็นกำลังใจให้กับพวกคุณเสมอแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2552 นั้นมันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกคุณรักษาสมบัติชิ้นนี้ของชาติได้มากน้อยแค่ไหน?

Hesse004

No comments: