Oct 31, 2009

โศกนาฏกรรมของ “เดอะค็อป” (The Kop)





ผลการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ชิพเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่างในโลกของ “ทุนวัฒนธรรมกีฬา” ได้ดีนะครับ

สามทีมบิ๊กโฟร์อย่างอาร์เซน่อล เชลซี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ล้วนแล้วแต่กำชัยกับทีมระดับกลางๆอย่างสเปอร์ โบลตัน และแบล็คเบิรนส์ โรเวอร์ ได้ แต่สำหรับบิ๊กโฟร์ทีมสุดท้ายอย่าง “ลิเวอร์พูล” กลับฝังตัวเองอย่างหมดสภาพคาถิ่นคราเวนคอตเทจ (Craven Cottage) สนามเหย้าของ “เจ้าสัวน้อย” ฟูแล่ม

ถ้าเป็นไปเหมือนพล็อตหนัง การเอาชนะแมนยูได้ในแอนฟิลด์น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของฤดูกาลนี้เลยก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าทั้งหมดนี้เป็น “ภาพลวงตา” เท่านั้นเองครับ

ในฐานะแฟนฟุตบอลทีมลิเวอร์พูล ผมว่าทุกคนคิดคล้ายๆกันว่า “หมดเวลา” สำหรับราฟาเอลเบนิเตซแล้ว

อย่างที่ทราบดีนะครับว่า “เดอะค็อป” (The Kop)ทุกคนเป็นกำลังใจให้กับ “เอลราฟา” เสมอมานับตั้งแต่วันที่เขาเหยียบถิ่นเมอร์ซีย์ไซด์ อย่างไรก็ตาม “ราฟา” พิสูจน์ตัวเองได้ดีแล้วว่าเขาไม่เหมาะกับฟุตบอลอังกฤษครับ

คำว่า “ไม่เหมาะ” ไม่ได้แปลว่า “ไม่เก่ง” นะครับ เพียงแต่ว่าสังเวียนแข้งพรีเมียร์ชิพเป็นสังเวียนที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเหล่า “แฟนบอล” และเต็มไปด้วย “ผลประโยชน์” ของนายทุนธุรกิจกีฬา

ทุกวันนี้ฟุตบอลพรีเมียร์ชิพได้กลายเป็นสินค้าออกสำคัญของอังกฤษไปแล้ว การถ่ายทอดสดและลิขสิทธิ์ต่างๆของ “บริการฟุตบอลบันเทิง” ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมภาคบริการที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับเหล่านายทุนธุรกิจกีฬาซึ่งสร้างอานิสงค์ให้กับอาชีพนักฟุตบอลด้วย

“ธุรกิจกีฬา” ยังส่งผลต่อเนื่องไปยังธุรกิจอื่นๆ (Linkage) อาทิ ธุรกิจการรับพนันที่ถูกกฎหมาย ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์กีฬา สร้างอาชีพใหม่ๆขึ้นมาอย่างนักวิจารณ์ฟุตบอลนักพากย์ฟุตบอล มิพักต้องเอ่ยถึงการทำธุรกิจขายของที่ระลึกตั้งแต่เสื้อบอล ผ้าพันคอ สติ๊กเกอร์ พวงกุญแจ ซึ่งทั้งหมดนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ทั้งหมดมาจาก “แฟนฟุตบอล” หรือ ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการบ้างหรือไม่เป็นทางการ (บางนัด) บ้าง

ด้วยกระแสของ “โลกาภิวัตน์” ทางฟุตบอลทำให้เราได้เห็นนักเตะต่างชาตินับร้อยรายต่างพาเหรดมาอ้วงแข้งกันในสังเวียนพรีเมียร์ชิพในทุกฤดูกาล อย่างเมื่อวานนี้ถ้าเราสังเกตให้ดีว่าทีมลิเวอร์พูลมีนักเตะอังกฤษแท้ๆคนเดียว คือ กัปตันคาราเกอร์ นอกนั้นลิเวอร์พูลเต็มไปด้วยนักเตะต่างแดนไล่ตั้งแต่ สเปน อาร์เจนติน่า บราซิล ดัตช์ กรีซ อิสราเอล นอร์เวย์ ยูเครน เป็นต้น เช่นเดียวกับผู้จัดการทีมที่เป็น “สแปนยาร์ด” (Spaniard)

โลกาภิวัตน์ฟุตบอล (Football Globalization) ทำให้เกิดกลุ่มนายทุนจากแดนไกลสนใจในธุรกิจฟุตบอลบันเทิงในเวทีพรีเมียร์ชิพ ด้วยการเชื้อเชิญของผู้จัดการแข่งขันทำให้ทุกวันนี้สโมสรฟุตบอลต่างๆในพรีเมียร์ชิพต่างเป็นที่หมายปองของเหล่านายทุนทั้งหลายไม่เว้นแม้แต่นายทุนจีน

การสถาปนา “สี่ทีมบิ๊กโฟร์” เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้ “ฟุตบอลบันเทิง” ในเวทีพรีเมียร์ชิพนั้นมีความน่าติดตามชม ทำนองเดียวกันที่สี่ทีมบิ๊กโฟร์พยายามจะไปอวดแข้งในเวทียุโรปซึ่งมีโปรโมเตอร์รายใหญ่อย่าง “ยูฟ่า” ที่สร้างทัวร์นาเมนต์ “ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก”ขึ้นมาเพื่อดึงคอบอลจากทั่วโลกให้มาสนใจกับ “ลีกสูงสุด” ของยุโรป ราวกับว่าเป็นการประลองยอดฝีเท้าจากทั่วแผ่นดินยุโรป

สำหรับลิเวอร์พูลแล้ว การปรับตัวในเวทีฟุตบอลและเวทีธุรกิจฟุตบอลนับว่า “ช้า” กว่าทีมบิ๊กโฟร์อื่นๆนะครับ

“แมนยู” กลายเป็นโกลบอลแบรนด์ของฟุตบอลอาชีพไปแล้ว “เชลซี”ได้อับราโมวิชและผู้จัดการทีมมืออาชีพดีๆมี “กึ๋น” ถึงมาสร้างทีมให้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ “อาร์เซน่อล” ก็เอาดีด้วยการพัฒนาทีมเยาวชนของตนเองจนประสบความสำเร็จในทางธุรกิจฟุตบอลภายใต้การทำบอลสไตล์ “เวงเกอร์เลี่ยน” ที่เล่นบอลสวยงามเพลินตา

แต่ “ลิเวอร์พูล” กลับก้าวไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกฟุตบอลสมัยใหม่ที่ว่ากันว่า “ทุน” คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ทีมประสบผลสำเร็จได้ (หากรู้จักใช้ทุนนั้นให้เป็นประโยชน์) บวกกับความเป็น “มืออาชีพ” ของผู้จัดการทีมที่เข้าใจถึงลักษณะของฟุตบอลอังกฤษและฟุตบอลยุโรปที่นับวันดูจะมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดูเหมือน “ราฟาเอล เบนิเตซ” จะด้อยกว่าทั้ง เฟอร์กี้ เวงเกอร์ และอันเชลลอตติ การอ้างว่าตัวผู้เล่นต้องไปรับใช้ทีมชาติไม่ควรเป็นเหตุผลอีกต่อไปเพราะทุกทีมก็เผชิญปัญหาเดียวกัน การอ้างว่าตัวผู้เล่นบาดเจ็บก็ไม่ใช่เหตุผลอีกเช่นกันเพราะฟุตบอลสมัยใหม่เป็นฟุตบอลที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะบาดเจ็บสูง ดังนั้น การหาผู้เล่นสำรองที่ดีพอจึงเป็นหน้าที่ของผู้จัดการทีม และยิ่งไปกว่านั้นราฟาไม่ค่อยให้โอกาสกับ “เด็ก” ท้องถิ่นจากทีมอคาเดมี่สักเท่าไรซึ่งตรงนี้น่าจะแสดงให้เห็นว่าราฟาไม่เชื่อมั่นในทีมเยาวชนของตัวเองซึ่งต่างจากเวงเกอร์หรือเฟอร์กี้อย่างชัดเจน

“ราฟาเอล เบนิเตซ” เป็นกุนซือที่มากด้วย “แทคติค” ครับแต่บางครั้งแทคติคของเขากลับทำให้นักเตะสับสนเล่นไม่เป็นไปตามธรรมชาติของฟุตบอลที่ควรจะเป็นนั่นคือ “เล่นฟุตบอลด้วยความรู้สึก” และกระหายที่จะชนะมากกว่าจะคำนึงถึงผลการแข่งขันหรือแมตช์การแข่งขันที่ยังมาไม่ถึง

บางทีวันพุธที่จะถึงนี้อาจเป็น “วันพิพากษา” ราฟาเอล เบนิเตซ อย่างแท้จริง เพราะหากทีมไม่สามารถเก็บชัยชนะจากโอลิมปิค ลียง (Olympique Lyonnais) ที่สนามสต๊าด เกอร์แลนด์ (Stade Gerland) ได้นั่นหมายถึงว่า “รายได้ก้อนโต” จากการผ่านเข้ารอบต่อไปในฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก ก็จะหายไป พร้อมๆกับโอกาสที่จะกลับมาเป็นหนึ่งในสี่เหมือนฤดูกาลที่แล้วๆมานั้นก็จะลดลงไปอีก เนื่องจากมีทีมที่พร้อมจะสอดแทรกขึ้นมาอย่าง แมนเชสเตอร์ซิตี้ สเปอร์ หรือแอสตันวิลล่า

ท้ายที่สุด "ปัญหาหนี้สิน"ของสโมสรที่สองเจ้าของสโมสรทุ่มเงินให้ราฟาซื้อตัวผู้เล่นตามแผนการทำทีมก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจทำให้สโมสรล้มละลายได้ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าลิเวอร์พูลอาจต้องขายสตาร์ดังๆอย่าง เจอร์ราด ตอร์เรส หรือเบนายูน

ทั้งหมดนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหากวันนั้นมาถึงจริงๆมันคงเป็น “โศกนาฏกรรม” ในวงการฟุตบอลครั้งใหญ่ที่ทำให้เดอะค็อปหลายชีวิตต้องเสียน้ำตากับทีมที่ตัวเองรักเพราะนอกจากจะพ่ายแพ้ในเกมฟุตบอลแล้วลิเวอร์พูลอาจจะพ่ายแพ้ในโลกธุรกิจฟุตบอลอีกด้วย

ถึงวันนั้นชื่อของลิเวอร์พูลอาจจะหล่นหายไปอยู่เดอะแชมเปี้ยนชิพเช่นเดียวกับสโมสรยักษ์ใหญ่ที่พ่ายแพ้ในโลกธุรกิจฟุตบอลอย่าง นิวคาสเซิล หรือ นอตติ้งแฮม ฟอร์เรสต์ หรือหากแย่กว่านั้นอาจลงไปอยู่ลีกวันเฉกเช่นเดียวกับ “ลีดส์ ยูไนเต็ด” ก็เป็นได้นะครับ

Hesse004

No comments: