Aug 20, 2009

Inglourious Basterds หนังสงครามสุด “เจ๋ง”





ท่านผู้อ่านที่นิยมดูหนังประวัติศาสตร์โดยเฉพาะหนังที่ว่าด้วยสงครามโลกครั้งที่สองคงรู้สึกคล้ายๆกันนะครับว่าประวัติศาสตร์ยุคใหม่ (Modern History) ถูกถ่ายทอดโดยสตูดิโอฮอลลีวู้ด

จึงไม่น่าแปลกที่เราจะได้รับอิทธิพลให้รู้สึก “โปร” อเมริกันและกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรมากกว่าที่จะรู้สึกชื่นชอบฝ่ายเยอรมนีหรือญี่ปุ่น

แต่อย่างไรก็แล้วแต่หากมองในแง่ของมนุษยธรรมแล้วการที่ “นาซี” ตัดสินใจฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนชาติยิวก็นับว่าเป็นความเลวร้ายที่สุดอย่างหนึ่งที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยก็ว่าได้นะครับ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุผลรองรับการกระทำของตัวเองอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าเหตุผลนั้นมันจะ “เข้าท่า” หรือ “ไร้สาระ” ด้วยเหตุนี้เองถ้าเราลองศึกษาประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน (ซึ่งมันเป็นไปได้ยาก) เราก็จะพบเหตุผลต่างๆนานาของผู้ที่ตัดสินใจจะ “ก่อสงคราม” หรือผู้ที่ตัดสินใจจะ “ยุติสงคราม”

นอกจากสงครามจะกลายเป็นเวทีขจัดความขัดแย้งของมนุษย์แล้ว สงครามยังเป็นเวทีพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย

แหม่! ผมออกจะติดปรัชญาเกินไปหน่อยแล้วล่ะครับ กลับมาที่เรื่องที่อยากจะเขียนถึงดีกว่า

เมื่อวานนี้ผมมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Inglourious Basterds (2009) ผลงานการกำกับของ เควนติน แทแรนทิโน่ (Quentin Tarantino) ซึ่งอยากจะบอกว่า แทนแรนทิโน่ทำให้หนังเรื่อนี้กลายเป็นหนังสงครามที่ “เจ๋ง” (Cool) ที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมาเลยก็ว่าได้ครับ

เควนติน แทแรนทิโน่ โด่งดังมาจากการกำกับภาพยนตร์เรื่อง Pulp Fiction (1994) ซึ่งได้กลายเป็นตำนานหนัง “เจ๋ง” ที่มีพล็อตเรื่องพลิกผัน หักเหลี่ยมเฉือนคมกันอยู่ตลอดเวลา นอกจาก Pulp Fiction แล้ว ผลงานสร้างชื่ออีกเรื่องของแทแรนทิโน่ คือ Kill Bill (Vol.1 2003, Vol 2 2004)

โดยส่วนใหญ่แล้วหนัง “เจ๋ง” มักจะถูกจัดอยู่ในสกุลหนังประเภท “Black Comedy” ครับ ซึ่งเป็นหนังตลกที่ผสมเรื่องราวความรุนแรงและอารมณ์เสียดสีลงไปด้วย

สำหรับ Inglourious Basterds นั้น แทแรนทิโน่ได้ใช้พล็อตเรื่องในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงที่กองทัพนาซีเข้ารุกรานฝรั่งเศสโดยแทแรนทิโน่พยายามผูกโครงเรื่องให้ผู้ชมเกิดความสงสัยว่าเหตุการณ์ต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้น

จริงๆแล้วความพิเศษของหนัง “เจ๋ง” มันอยู่ที่ตรงนี้แหละครับ การที่คนเขียนบทและผู้กำกับได้วางเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ให้แยกขาดจากกันก่อนจะมาขมวดปมผูกให้เหตุการณ์เหล่านั้นกลายมาเป็นจุดไคลแมกซ์สำคัญของภาพยนตร์

กระบวนหนังที่ผมดูเสร็จแล้วต้อง สบถคำว่า “เจ๋ง” ออกมาเท่าที่จำได้ก็มี The Big Lebowski (1998) ของสองศรีพี่น้องตระกูลโคเอน (The Coen Brothers), Snatch (2000) หนังอังกฤษของกาย ริชชี่ (Guy Ricchie) และหนังตระกูล Ocean ตั้งแต่ Ocean ’s eleven จนถึง Ocean ’s thirteen ของสตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก (Steven Soderbergh)

จริงๆแล้ว Inglourious Basterds เป็นชื่อที่แทแรนทิโน่จงใจตั้งขึ้นเพื่อให้ล้อกับชื่อหนังสงครามอีกเรื่องที่ชื่อ The Inglorious Bastards (1978) ของเอนโซ่ คาสเตลราลี่ (Enzo Castellari) ผู้กำกับชาวอิตาเลี่ยนครับ

แทแรนทิโน่เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้เอง ซึ่งแม้ว่าเขาจะไม่ได้ยึดข้อมูลพื้นฐานทางประวัติศาสตร์มากเท่าไรนักแต่สิ่งที่แทแรนทิโน่ได้ทำให้เราเห็นคือ การทำให้สงครามกลายเป็น “อาชญากรรมของการหักเหลี่ยม”โดยแทแรนทิโน่ได้เติมอารมณ์ขันแบบ Black Comedy เข้าไปด้วย

จุดเด่นอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้ คือ การได้ดารามากฝีมือที่มาจากฝั่งยุโรปมาร่วมงานและทำให้การพูดภาษาเยอรมันและภาษาฝรั่งเศส นั้นดูมีความเป็นธรรมชาติอย่างมาก

แทแรนทิโน่ได้ “แบรท พิตต์” มารับบทนำเป็นผู้หมวดอัลโด้ เรน ฉายา Aldo the Alpache ซึ่งพิตต์ก็เล่นได้สุดยอดตามมาตรฐานซูเปอร์สตาร์

ส่วนดารายุโรปอีกคนที่ผมอยากพูดถึง คือ คริสตอฟ วอลซ์ (Christoph Waltz) ดาราชาวออสเตรียนที่มารับทเป็นพันเอกฮันส์ แลนดา (Hans Landa) แห่งกองทัพนาซี เจ้าของฉายา The Jew Hunter ซึ่งถ้าจะให้คะแนนการแสดงแล้วผมให้วอลซ์เต็มร้อยเลยครับ เพราะวอลซ์แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวปนความไซโคของนายทหารฝ่ายเอสเอสได้เหนือคำบรรยายจริงๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่วอลซ์จะได้รับรางวัลดาราชายยอดเยี่ยม (Best Actor Award) จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปีนี้

แม้ว่า Inglourious Basterds จะทำให้มุมมองที่เรามีต่อหนังสงครามโลกครั้งที่สองแตกต่างออกไป แต่จะว่าไปแล้วการสร้างหนังสงครามอาจไม่จำเป็นต้องเน้นความหดหู่ของการทำลายล้างเพียงอย่างเดียวก็ได้นะครับ บางครั้งหนังสงครามอาจพาให้เราได้มองเห็นแง่มุม “เจ๋ง”ๆ บางอย่างประเภทที่ว่าเฮ้ยมึงคิดได้ไงวะเนี่ยซึ่งหนังประเภทนี้ดูเหมือนแทแรทิโน่จะทำได้ดีเสียด้วยนะครับ

อ้อ! สำหรับหนังเรื่องนี้,เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นการจัดเรตติ้งสำหรับผู้ชมตาม พรบ. ภาพยนตร์ฉบับใหม่ซึ่งเขากำหนดให้ผู้ชมที่จะดูหนังเรื่องนี้ควรจะมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปนะครับ

Hesse004

No comments: