Jun 22, 2008

Wanee&Junah โลกที่เธอไม่ให้ฉันเข้าไป





กระบวนหนังรักเกาหลีที่ผมเลือกหยิบมาดูบ่อยที่สุดน่าจะมีดังนี้ครับ Christmas in August (1998) ดูไปแล้วสี่รอบ รองลงมาเป็นMy Sassy Girl (2001), I wish I had a wife (2000) และ Il Mare (2000) สามเรื่องนี้ดูไปแล้วสามรอบและล่าสุดผมเพิ่งหยิบ Wanee&Junah (2002) มาดูรอบสองครับ

วานีและจูน่าห์ (Wanee&Junah) เป็นผลงานการกำกับของ “คิมยองกุน” (Kim Yong-gyun) ที่เล่าเรื่องความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เลือกแยกออกมาใช้ชีวิตคู่ก่อนแต่งงาน

“คิมยองกุน” ทำให้หนังรักเรื่องนี้มีความละเมียดละไมมากโดยเฉพาะประเด็นความรักสามเส้าระหว่าง ลี วานี (นางเอก), คิม จูน่าห์ (พระเอก) และลี ยังมิน (พี่ชายบุญธรรมของวานี) แน่นอนครับว่าไอ้สามเศร้าที่ว่ามันเป็น “เส้า” ระหว่าง วานีที่ยังไม่ลืมรักแรกกับพี่ชายบุญธรรมของตัวเอง ส่วนจูน่าห์คือรักถัดมาของเธอ

นอกจากนี้หนังยังแอบพ่วงรักสามเส้าของเพื่อนสนิทวานีที่มาหลงรักพี่ชายบุญธรรมของวานีอีก พูดง่ายๆว่าผู้หญิงในเรืองนี้มาหลงรัก “ลียังมิน” กันหมด

ผมดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อหกปีที่แล้วครับ แล้วก็หาซื้อดีวีดีเรื่องนี้มาเก็บไว้เผื่อสบโอกาสเหมาะทางอารมณ์ค่อยหยิบขึ้นมาดูใหม่

ประเด็นที่คิมยองกุนยังแทรกใส่ลงไปในหนังรักของเขา คือ การนำเสนอความรักในรูปแบบที่แตกต่างมิใช่มีเพียงแค่รักของหนุ่มสาวเท่านั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ รูปแบบความรักแบบเกย์ระหว่างหัวหน้าของวานีกับแฟนหนุ่มที่เป็นตำรวจ นอกจากนี้คิมยองกุนยังตั้งคำถามชวนอึดอัดถึงรักระหว่างพี่ชายบุญธรรมอย่าง “ลียังมิน” และน้องสาวผู้หลงรักพี่ชายอย่าง “วานี”

คำถามของผู้กำกับถึงความรักที่เป็นไปไม่ได้ของรูปแบบความรักที่ไม่ใช่ความรักปกติระหว่างหนุ่มสาวทั่วไปนี้ ทำให้ผมเริ่มมองเห็นว่าแท้จริงแล้ว “ความรัก” เป็นอารมณ์หนึ่งของมนุษย์ที่ยากยิ่งนักจะอธิบาย

ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องแปลกใจหากมีวรรณกรรมคลาสสิคบางเรื่องพยายามสื่อสารให้เห็นรูปแบบความรักที่มันแตกต่างไปจากรักระหว่างสถานะหญิงชายหรือหนุ่มสาว บางทีมันกลับกลายเป็นรักประเภทผิดฝาผิดตัว ซึ่งหากเรามองด้วยสายตาเป็นกลางแล้วเราจะเข้าใจว่าทำไมผู้กำกับอย่างอั้งลี่หรือคุณมะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล จึงทำหนังเรื่อง Broke back Mountain (2006) กับรักแห่งสยาม (2007) ขึ้นมา

นอกจากนี้ คิมยองกุนได้ทำให้ “วานี”กลายเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ที่แสดงความขบถต่อสังคมเกาหลีด้วยการเลือกที่จะให้แฟนหนุ่มจูน่าห์มาอยู่กินฉันคู่ผัวตัวเมียก่อนแต่งงาน

อย่างไรก็ตามหนังเรื่องนี้ยังเลือกดำเนินเรื่องในสไตล์หนังรักเกาหลีที่เน้นความโรแมนติคของคู่พระนางโดยท้ายที่สุดหนังเรื่องนี้ก็จบลงด้วยดี

จะว่าไปแล้วความต่างระหว่างหนังเรื่องนี้กับ Christmas in August ของ “เฮอ จินโฮ” นั้นอยู่ที่สถานการณ์ของความรักที่เกิดขึ้น ใน Christmas in August นั้น เฮอ จินโฮ ได้ทำให้ความรักกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตช่วงสุดท้ายของ “จุงวอน” พระเอกของเรื่อง

ขณะที่คิมยองกุนทำให้ความรักของวานีนั้นคลี่คลายและพร้อมจะเริ่มต้นอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจกับผู้ชายคนใหม่ของเธออย่าง “คิม จูน่าห์”

ความรักที่ยากจะเป็นไปได้ระหว่างพี่ชายบุญธรรมกับน้องสาว ยังถูกขังไว้ในห้องของลียังมิน รวมไปถึงความทรงจำของวานีเอง

ในเรื่อง, จูน่าห์เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมวานีจึงไม่ยอมให้เขาเข้าไปเหยียบห้องของยังมิน จนท้ายที่สุดเขาก็ได้ล่วงรู้ความลับในใจของวานีจากภาพสเก๊ตช์ของหล่อน

แม้ว่าเธอได้เริ่มต้นรักครั้งใหม่กับผู้ชายอีกคนหนึ่งแล้ว แต่ความทรงจำเหล่านั้นยังกลับมาเขย่าตะกอนของความสับสนให้เกิดขึ้นมาอีก โดยที่จูน่าห์เองก็ไม่รู้ว่ารักแรกของวานีนั้นเป็นเช่นไร

หนังพยายามจะพูดถึง “รักแรก” ซึ่งตัวละครแต่ละคนล้วนแต่มีรักแรกที่แตกต่างกัน แต่ถึงยังไงมันก็ต้องถูกดึงกลับมาสู่ “รักปัจจุบัน” วันยังค่ำ

ระหว่างที่ผมนั่งดูหนังเรื่องนี้ ผมนึกถึงเพลง “โลกที่เธอไม่ให้ฉันเข้าไป” ของคุณบอย ตรัย ภูมิรัตน์ เพลงนี้น่าจะเอามาประกอบเป็นมิวสิควีดีโอในหนังเรื่องนี้ด้วยเพราะมีความหมายตรงกับสิ่งที่จูน่าห์รู้สึก

ประโยคหนึ่งที่ผมติดใจตอนที่จูน่าห์พูดในต้นเรื่อง คือ “อย่ามองกลับไป เพราะลมจะทำให้เธอแสบตา” มันเป็นแค่คำเก๋ๆที่เขาคิดขึ้นเพื่อจะใส่ไปในบทหนัง แต่คำพูดดังกล่าวนั้นเหมือนจูน่าห์ต้องการบอกให้วานีเลือกเก็บความทรงจำดีๆบางอย่างไว้ดีกว่า

ข้อดีของการรักษาความทรงจำไว้ คือ การได้อิ่มเอมใจไปกับมันทุกครั้งที่รำลึกถึงมันขณะที่ข้อเสีย คือ มันมักกลับมาย้อนทำร้ายและสร้างความสับสนให้กับเจ้าของความทรงจำนั้นทุกครั้งยามเมื่อนึกถึง เหมือนที่วานีกำลังเผชิญอยู่

หนังเรื่องนี้ใช้ออริจินัล ซาวด์แทรคเพลง “I wish you love” ของ ลิซ่า โอโนะ (Lisa Ono) ศิลปินแจ๊ซชื่อดังที่ร้องเพลงนี้ได้เพราะมากๆ ครับ ซึ่งผมชอบท่อนสุดท้ายของเพลงนี้ที่ร้องว่า

“When snowflake fall , I wish you love” ฉันได้แต่หวังว่าพอหิมะตก …เธอจะหันมารักฉันได้อีกครั้ง

Hesse004

No comments: