Jul 15, 2007

Innocent Voice เสียงใสๆในสงคราม



“El Salvador” ผมเชื่อว่าหลายท่านคงคุ้นหูกับชื่อนี้ในฐานะที่เป็นประเทศหนึ่งในดินแดนอเมริกากลาง อย่างไรก็ตามดูเหมือนเรื่องราวของชนชาติแถบนี้มักไม่ค่อยถูกนำเสนอเท่าใดนัก เช่นเดียวกันกับความสับสนในชื่อประเทศที่เรามักนึกรวมไปถึง “Ecuador” ประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งในดินแดนลาติน

เหตุที่ผมหาเรื่องเขียนถึง El Salvador นั้น ก็เนื่องมาจากการได้ดูหนังเรื่อง Innocent Voice หรือ Voces inocentes ซึ่งหลังจากดูจบ ผมรีบค้นข้อมูลดูว่าไอ้เจ้าประเทศนี้มันอยู่ส่วนไหนของทวีปอเมริกา ความน่าสนใจของ Innocent Voice อยู่ตรงที่การบอกเล่าเรื่องราวของสงครามกลางเมืองที่กินเวลายาวนานถึง 12ปีตั้งแต่ปี 1980 – 1992 สงครามดังกล่าวถูกบันทึกว่าเป็นสงครามครั้งสำคัญในแถบอเมริกากลางจนทำให้ “เจ้าโลก” อย่างสหรัฐอเมริกาทนดูไม่ได้ต้องส่งกองกำลังทหารเข้าไปแทรกแซง เอ๊ยไม่ใช่! ส่งทหารไปช่วยเหลือครับ

Innocent Voice (2004) เป็นผลงานกำกับของ Luis Mandoki ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการทำหนังจากเรื่องจริงที่นาย Oskar Torres เขียนขึ้นจากประสบการณ์อันเลวร้ายในวัยเด็กระหว่างที่เกิดสงครามกลางเมืองในประเทศ ที่ต่อเนื่องยาวนานถึง 12 ปี สงครามดังกล่าวเป็นสงครามระหว่างฝ่ายรัฐบาลที่มีสหรัฐอเมริกาหนุนหลัง กับ ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมจากรัฐบาลเผด็จการทหาร

ในช่วงทศวรรษที่ 80 ยังอยู่ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับสงครามชนิดใหม่ที่เรียกว่า “สงครามเย็น” โดยมีสองประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเป็นคู่ฟัดในสงครามนี้ นอกจากสงครามเย็นจะทำให้โลกต้องแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแล้ว ยังทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศเล็กประเทศน้อยที่ยังขาดเสถียรภาพทางการเมืองโดยเฉพาะประเทศในแถบอเมริกากลาง อย่าง นิคารากัว และ เอลซาวาดอร์ เป็นต้น

เหตุผลสำคัญของสงครามกลางเมืองในประเทศเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากความยากไร้ในเรื่องเศรษฐกิจครับ โดยเฉพาะการลุกขึ้นจับอาวุธขึ้นต่อสู้ของเหล่าชาวบ้านเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองหลังจากที่ถูกรัฐบาลทหารและกลุ่มนายทุนใหญ่ 14 ตระกูล รวมทั้งสหรัฐอเมริกา กอบโกยขูดรีดผลประโยชน์มาช้านาน

จริงๆแล้ว Innocent Voice ไม่ใช่หนังเรื่องแรกที่กล่าวถึงสงครามกลางเมืองใน El Salvador เพราะยังมีหนังเรื่อง Salvador(1986) ผลงานกำกับของ Oliver Stone ที่กล่าวถึงสภาพมิคสัญญีของประเทศนี้ในช่วงสงคราม

Innocent Voice เปิดฉากมาด้วยภาพของเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งอายุเพียง 11 – 12 ปี กำลังถูกทหารของรัฐบาลจับกุมตัวไป โดยหนังไม่ได้บอกว่าเพราะเหตุใดเด็กเหล่านี้ถึงถูกจับ หลังจากนั้นหนังค่อยๆเผยให้เห็นเรื่องราวทั้งหมดของสงครามผ่านเด็กผู้ชายตัวเล็กๆอย่าง Chava

Chava เป็นเด็กชายอายุ 11 ปี เขาอาศัยอยู่กับแม่ น้องสาวและน้องชาย Chava ก็เหมือนเด็กๆทั่วไปที่เล่นสนุกไปวันๆโดยไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่เขารบกันด้วยสาเหตุอันใด ทั้งนี้หมู่บ้านที่ Chava อาศัยอยู่นั้นนับว่าเป็นหมู่บ้านที่ “ซวย” เลยทีเดียวครับ เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตแนวรบของกองกำลังรัฐบาลกับฝ่ายผู้ต่อต้าน ผมสันนิษฐานว่าฝ่ายต่อต้านส่วนใหญ่ที่เป็นชาวบ้านนั้นน่าจะได้รับอุดมการณ์ของคอมมิวนิสต์โดยมีการจัดทัพคล้ายๆกับกองโจรเหมือนที่ “เชกูวารา” เคยใช้รูปแบบนี้ในอเมริกาใต้

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่ากองกำลังรัฐบาลได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุนี้อาวุธยุทโธปกรณ์จึงมีศักยภาพมากกว่ากลุ่มต่อต้าน ในแง่ของตัวหนังแล้วไม่ได้กล่าวถึงเรื่องราวทางการเมืองซักเท่าไรนัก มีเพียงบางฉากที่กล่าวถึงความคับแค้นใจของชาวบ้านที่ถูกทหารของรัฐและทหารต่างชาติรังแก แต่โดยสาระที่หนังได้สื่อให้เราได้เห็นคือความยากลำบากของชาวบ้านชาวช่องที่ประสบภัยจากสงครามกลางเมืองโดยเฉพาะกลุ่มเด็ก สตรี และคนชรา จำนวนผู้บริสุทธิ์ที่สังเวยชีวิตไปจากการยิงปะทะของทหารสองฝ่ายที่ดูเหมือนจะมากขึ้นทุกวัน ทำให้ชาวบ้านตัดสินใจอพยพออกไปจากหมู่บ้านนี้

นอกจากนี้อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านต้องหนีก็เพราะฝ่ายรัฐบาลจะจับเด็กผู้ชายที่มีอายุครบ 12 ปี ไปเป็นทหาร ด้วยเหตุผลงี่เง่าที่สุด คือ เพื่อให้เด็กเหล่านี้ไปปกป้องประเทศ ซึ่งก็แน่นอนครับ Chava พระเอกน้อยๆของเรากำลังจะโดนเกณฑ์ทหารเข้าสู่กองทัพของรัฐบาลด้วยวัยเพียง 12 ปี เท่านั้น

นาย Luis Mandoki ผู้กำกับชาว Mexican ทำหนังเรื่องนี้ได้ยอดเยี่ยมมากครับ โดยเฉพาะสารที่ต้องการจะสื่อไปยังพวกผู้นำกระหายอำนาจได้ทราบว่าทุกวันนี้มีเด็กๆอายุ 12 – 17 ปี กลายเป็นทหารตัวน้อยๆอยู่ถึง 350,000 คนทั่วโลก เด็กเหล่านี้ไม่ผิดอะไรจากเบี้ยในเกมหมากรุกที่เวลาเปิดหมากมักถูกส่งให้ไปตายก่อนเสมอ ผมไม่แน่ใจว่าเหล่าผองชนในคองเกรสทำเนียบขาวจะตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้หรือเปล่า? เพราะจากประวัติศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศยุคใหม่บันทึกไว้ว่า สหรัฐอเมริกามักทำตัวเป็นพ่อค้าส่งออกบริการประชาธิปไตยจอมปลอมไปยังประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย พร้อมกันนั้นยังส่งบริการสงครามเป็นของแถมอีกต่างหาก ไล่เรียงตั้งแต่ สงครามเกาหลี (1950-1953) สงครามปฏิวัติในคิวบา (1956-1959) สงครามเวียดนาม (1960 - 1975) สงครามกลางเมืองโดมินิกัน (1965) สงครามกลางเมืองในนิคารากัวและเอลซาวาดอร์ (1980- 1992) สงครามกลางเมืองในโซมาเลีย (1988) สงครามปานามา (1989) สงครามอ่าวเปอร์เซีย (1990-1991) สงครามในอัฟกานิสถาน (2002) และ สงครามในอิรัก (2003) เป็นต้น

หลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบ ผมนึกถึงเนื้อร้องท่อนเริ่มใน “เพลงกล้วยไข่”ของเฉลียงที่ร้องว่า “เกิดสงครามพันครั้ง เด็กก็ยังสวยงาม เป็นเพียงแค่สงคราม ความเดียงสาเท่าเดิม”

Hesse004

1 comment:

Unknown said...

อยากดูมากค่ะ
แต่หาซื้อที่ไหนก้ไม่มี
ที่ให้เช่าก็หาไม่เจอ
มีแนะนำมั้ยค่ะ