Jul 30, 2007

โลกรื่นรมย์ของ Forrest Gump



นวนิยายของนาย Winston Groom ได้ทำให้ชื่อของ Forrest Gump ดังกระฉ่อนเมื่อ 13 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามเวลาเราพูดถึง Forrest Gump ภาพแรกที่เรานึกถึง คือ Tom Hanks ในบุคลิกที่ใสซื่อ จริงใจ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่บุคลิกเหล่านี้คนส่วนใหญ่ในสังคมทุนนิยมเมือง กลับมองว่าเป็นเรื่องของความทึ่ม บื้อ โง่ รวมไปถึงปัญญานิ่ม ผมไม่แน่ใจว่า Groom ต้องการจะสื่ออะไรผ่านตัวละครอย่าง Forrest Gump แต่ที่แน่ๆ Forrest Gump ในภาคของภาพยนตร์ก็คว้ารางวัลออสการ์มาครองได้เมื่อปี 1994ในฐานะภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี

Forrest Gump(1994) กำกับโดย Robert Zemeckis ซึ่งได้ทำให้ภาพของ Tom Hanks กลายเป็นภาพของ Forrest Gump ไปอย่างสมบูรณ์แบบ Zemeckis สร้างหนังเรื่องนี้โดยเลือกถ่ายทอดเรื่องราวของอเมริกันชนที่มีชีวิตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงไม่นาน โดยเริ่มต้นเรื่องราวใน Green Bowl เมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในรัฐ Alabama
เด็กชาย Forrest Gump เป็นเด็กที่เกิดในช่วงที่สงครามใกล้สงบแล้ว ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวถูกเรียกว่า Baby Boom Era นั่นหมายถึงช่วงที่ประชากรในโลกเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ในปี 2006เด็กที่เกิดในยุค Baby Boom รุ่นแรกมี อายุครบ 60 ปีไปเรียบร้อยแล้วซึ่งหนึ่งในนั้น คือ Geroge W Bush ผู้ลูก

หนังเรื่องนี้ได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์อเมริการ่วมสมัย เริ่มตั้งแต่ ปัญหากีดกันคนผิวสีเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในรัฐที่เหยียดผิวอย่าง Alabama, สงครามเวียดนามในทศวรรษที่ 60-70 , การกระชับความสัมพันธ์กับจีนโดยใช้การทูตด้วยกีฬาปิงปอง (Ping Pong Diplomacy)เมื่อปี 1971 , การเคลื่อนไหวของเหล่าบุปผาชนหรือฮิปปี้ นอกจากนี้หนังยังกล่าวถึงบุคคลสำคัญหลายคนอย่าง Elvis Presley , John F. Kenedy , Lindon B.Johnson , Richard M Nickson , John Lennon เป็นต้น

จะว่าไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อนมีหนังฮ่องกงเรื่อง The golden chicken (2002)หรือ Gum Gai ก็ได้ใช้แนวทางการเล่าเรื่องลักษณะเดียวกับ Forest Gump โดยตัวเอกมีอาชีพเป็นหมอนวด ในเกาะฮ่องกงที่เล่าถึงฮ่องกงในยุค 80 ถึง ยุคสองพัน โดยความโดดเด่นของหนังแนวนี้อยู่ที่การนำข่าวเก่าๆทั้งข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ที่ปรากฏในทีวีตลอดจนเพลงที่คุ้นหูในช่วงเวลานั้นมาเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่อง

กลับมาที่ Forrest Gump ต่อครับ , หนังให้ Forrest เป็นคนเล่าเรื่องชีวิตตัวเองให้คนแปลกหน้าฟังระหว่างนั่งรอรถเมล์ โดยประโยคเปิดเรื่องได้กลายเป็นประโยคอมตะไปแล้ว คือ “Life's a box of chocolates , you never know what you're gonna get.” ซึ่งประโยคนี้เรามาได้ยินอีกครั้งตอนที่คุณนาย Gump แม่ของ Forest กำลังจะตาย และตลอดทั้งเรื่องของหนังก็พยายามสื่อให้เห็นสิ่งที่เรียกว่า Never know ซึ่งในที่นี้มีอีกคำหนึ่งที่ใช้ คือ Destiny หรือ โชคชะตา นั่นเองครับ

ผมเชื่อว่าเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้อยู่ตรงคำพูดที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยแง่คิดมากมาย คำพูดที่ว่าชีวิตก็เหมือนกล่องช็อกโกแลต เราไม่มีวันรู้หรอกว่าข้างในกล่องเราจะเจออะไร มันก็เหมือนกับอนาคตของคนเราที่เราเองก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าชีวิตเราจะดำเนินไปในรูปไหน

Zemeckis ใช้“ขนนก” เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่บอกถึง “ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต”ที่พัดผ่านไปตามลมซึ่งในหนังสะท้อนให้เห็นภาพของ Jenny Curran ,หญิงสาวของ Forrest, เธอเชื่อในความอิสระของชีวิต แม้ดูแล้ว Jenny จะล้มเหลวกับความฝันที่อยากเป็นเหมือน Joan Biaz นักร้องสาวชาวบุปฝาชน Jenny ปล่อยชีวิตให้พัดไปกับกระแสสังคมอเมริกันในยุค 60 – 70 เริ่มจากถ่ายภาพโป๊ลง Playboy , โชว์กีตาร์เปลือยในผับ ตลอดจนเข้าร่วมขบวนการฮิปปี้เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ต่อต้านสงครามเวียดนาม นอกจากนี้ยังมีฉากอัพยาให้เห็นกันอยู่หลายฉาก อาจเรียกได้ว่าชีวิตของ Jenny นั้นผ่านอะไรมามากกว่า Forrest แต่จนแล้วจนรอดดูเหมือน Jenny ก็ยังไม่พบชิ้นช็อคโกแลตที่ถูกใจสักที ผมนึกถึงคำพูดหนึ่งที่ว่า “ชีวิตมีไว้ให้ใช้” ขณะเดียวกันอีกคำพูดที่ออกมาแย้งรูหูอีกข้างก็คือ “แล้วมึงจะรีบใช้ชีวิตไปถึงไหนกัน”

ตัวละครที่สำคัญอีกคนหนึ่งในหนังเรื่องนี้ คือ ผู้หมวด Dan Taylor , แสดงโดย Gary Sinise,หมวด Dan เป็นตัวแทนของคนที่เชื่อว่าชีวิตลิขิตได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าโชคชะตาจะลิขิตให้หมวด Dan เป็นคนพิการจากสงครามเวียดนาม แต่ท้ายที่สุดแล้วการได้เป็นเพื่อนกับ Forrest ทำให้เขามองเห็นแง่มุมบางอย่างจากความซื่อของชายคนนี้ ชายผู้ไม่คิดอะไรมากมาย ไม่มีอุดมการณ์สูงส่ง ชายที่ดูเหมือนจะโง่ทึ่มแต่ก็สามารถนำพาตัวเองไปสู่จุดสูงสุดในหลายเรื่องๆโดยที่ตัวเองก็ไม่ได้ยี่หร่ะกับความสำเร็จเหล่านั้น ท้ายที่สุดหมวด Dan ขอบคุณ Forrest ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ แม้ว่าครั้งแรกเขาจะเกลียดการมีชีวิตอยู่เยี่ยงผู้พิการ

สำหรับตัว Forrest Gump นั้น , ผมเชื่อว่าโลกที่รื่นรมย์ของเขาอยู่ที่การได้เห็นความสุขของคนอื่นเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่ แม่ ,Jenny, Bubba, หมวด Dan ไปจนกระทั่งลูกชายตัวน้อย โลกรื่นรมย์ที่ว่านี้ คือ โลกที่คิดถึงคนอื่นในมุมที่เอื้ออาทรโดยไม่นึกถึงผลตอบแทนว่าเราจะต้องได้อะไรกลับมา

ความรื่นรมย์ของชีวิตอยู่ที่การมองเห็นโลกในมุมที่มันควรจะเป็น Forrest Gump อาจจะไม่ใช่นักบวช นักบุญ แต่หนังทำให้เขาดูคล้ายเป็นนักบุญผู้นำแห่งลัทธิการวิ่ง (Jogging Craze)เขาอาจจะไม่ใช่ศิลปินนักคิดแบบ John Lennon แต่หนังก็ทำให้เขาเป็นแรงบันดาลใจให้ Lennon แต่งเพลง Imagine เขาอาจจะไม่ใช่ทหารนักรบที่มีอุดมการณ์สูงส่งอะไร แต่หนังก็ยังทำให้ชายคนซื่อกลายเป็นวีรบุรุษสงคราม เขาอาจจะไม่ใช่พ่อค้านักธุรกิจที่เก่งกาจแต่หนังก็สร้างให้เขาประสบความสำเร็จจนร่ำรวยเงินทอง ความสำเร็จทั้งหมดนี้เขาไม่ได้สนใจอะไรกับมันมากมายนอกจากจะมีความสุขกับการเป็นคนตัดหญ้าในเมืองเล็กๆที่เขาอยู่แค่นั้น เพียงเท่านี้ความรื่นรมย์ของชีวิตก็บังเกิดแล้วมิใช่หรือ

Hesse004

3 comments:

Unknown said...

....
พี่ว่าต้วนก็คงรื่นรมย์กับชีวิตช่วงสอบตอนนี้เหมือนกันนะ เพราะยังมีเวลามาเขียน blog ได้นี่จ๊ะ :-)

ช่วงวันหยุดที่ผ่านมา นั่งดูหนังเกาหลีเรื่องหนึ่งไปหลายชั่วโมง ยังดูไม่จบเลยนะนี่ พระเอกเรื่องนี้เรียนไม่จบ ม.ปลาย แถมสอบได้ที่โหล่มาตลอด แต่ความมีเสน่ห์ของเขาคือใจดี ใจที่คิดดีและส่งผ่านการกระทำที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุข

ที่ดีกว่านั้นคือ คนที่ใจดี ไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของตัวเองมันมีคุณค่าจนคนอื่นๆต้องมาซาบซึ้ง ต้องมาชื่นชม ต้องมายกย่อง ดีแบบไม่มีอัตตานี่มันดีจริงๆ นะ

Yai said...

>> ผมนึกถึงคำพูดหนึ่งที่ว่า “ชีวิตมีไว้ให้ใช้” ขณะเดียวกันอีกคำพูดที่ออกมาแย้งรูหูอีกข้างก็คือ “แล้วมึงจะรีบใช้ชีวิตไปถึงไหนกัน”<<

ใช่แล้ว.. "ใช้ชีวิตให้คุ้ม แต่อย่าใช้ชีวิตให้สิ้นเปลือง"

ชีวิตของเจนนี่ในเรื่องเหมือนกับ Lost Soul จิตวิญญาณที่หายไป ท่ามกลางกระแสบุปฝาชนอันเฟื่องฟูในยุคนั้น

หนังเรื่องนี้ถ้าเป็นคนอเมริกันที่เติบโตในยุคนั้นจะอินกับเนื้อเรื่องมาก..

ฉากที่กัมป์วิ่งไปเรื่อยๆ ทำให้นึกถึงฉากวิ่งของทาเคชิ คาเนชิโร่ ใน Chungking Express ของหว่องการ์ไว ..

Yai

Tuan said...

ขอบคุณครับ

ต้วน