Jul 26, 2009

Public Enemies ศัตรูหมายเลขหนึ่งของแผ่นดิน





ขึ้นชื่อว่า “โจร” แล้วย่อมมีแต่คนเกลียดกลัวนะครับ แต่โจรน้อยคนนักที่จะได้รับการยอมรับนับถือจากผู้คนว่าเป็น “จอมโจร” ซึ่งหนึ่งในจอมโจรที่ว่านี้คือ “จอห์น เฮอร์เบิร์ต ดิลลิงเจอร์” (John Herbert Dillinger) ครับ

ไม่กี่วันมานี้หนังเรื่อง Public Enemies (2009) ผลงานการกำกับของไมเคิล มานน์ (Michael Mann) เพิ่งจะลงโรงฉาย หนังเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของจอมโจรชื่อดังแห่งทศวรรษที่สามสิบ “จอห์น ดิลลิงเจอร์” ครับ โดยบทภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากหนังสือของไบรอัน เบอโร่ (Bryan Burrogh) เรื่อง Public Enemies : America’s Greatest Crime Wave and the Birth of the FBI, 1933-43 ครับ (ข้อมูลจาก วิกีพีเดีย)

หนังเรื่องนี้ยังได้จอหน์นี่ เดปป์ (Johnny Depp) มารับบทเป็น จอห์น ดิลลิงเจอร์ ซึ่งถ้าจะให้คะแนนการแสดงแล้ว ผมให้เต็มสิบเลยครับ เพราะเดปป์เล่นเรื่องนี้ได้โดดเด่นมากๆ

จอห์น ดิลลิงเจอร์ เป็นจอมโจรชื่อดังในต้นทศวรรษที่สามสิบ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ The Great Depression

วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำในครั้งนั้นนอกจากจะทำให้ชาวอเมริกันตกงานกันเรือนล้านแล้วยังส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของสถิติการก่ออาชญากรรมอีกด้วยไล่ตั้งแต่การลักเล็กขโมยน้อยไปจนกระทั่งการปล้นธนาคาร

และเจ้าปัญหาโจร (ไม่) กระจอกออกอาละวาดนี้เองที่ทำให้รัฐบาลอเมริกันยุคนั้นต้องรีบกวาดล้างเหล่าทุรชนทั้งหลายอย่างเร่งด่วนโดยใช้บริการหน่วยงานอย่าง Federal Bureau of Investigation หรือที่รู้จักกันดีว่า “เอฟบีไอ” (FBI) นั่งเองครับ

จริงๆแล้วเอฟบีไอก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1908 แล้วครับ แต่บทบาทของเอฟบีไอเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงที่สหรัฐอเมริกาเต็มไปด้วยมหาโจรและเหล่าแก๊งสเตอร์ (Gangster) ครองเมืองซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวถูกเรียกขานว่า “Public Enemy Era” หรือ “ยุคแห่งศัตรูของรัฐ”

บทบาทของเอฟบีไอในช่วง Public Enemy Era นั้นดูจะมีอำนาจล้นฟ้าจนทำให้ใครหลายคนอยากเป็นเอฟบีไอกันเป็นแถว ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องยกความดีความชอบให้กับ “เจ เอ็ดการ์ ฮูเวอร์” (J. Edgar Hoover) อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอคนแรก ชายผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีอิทธิพลมากที่สุดในเรื่องการกุมข้อมูลความลับของบุคคลสำคัญทั้งหลายในสหรัฐอเมริกาไม่ว่าจะเป็นมาเฟีย นักการเมือง ดารา รวมไปถึงประธานาธิบดี!!

เจ เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ เป็นผู้นำที่เข้มแข็งของเอฟบีไอ เขาได้สร้างอาณาจักรเอฟบีไอให้กลายเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลองค์กรหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยฮูเวอร์นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการเอฟบีไอยาวนานถึงสามสิบเจ็ดปี (1935 - 1972) และรับใช้ประธานาธิบดีสหรัฐถึงหกคนครับ

ฮูเวอร์ได้ทำให้เอฟบีไอแตกต่างจากตำรวจทั่วไป กล่าวคือ เขาได้นำวิธีการสืบสวนสอบสวนที่เป็นวิทยาศาสตร์มาทำการสอบสวนผู้ต้องหา นำเครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการสืบหาข่าวคราวของเหล่าร้ายซึ่งงานของเอฟบีไอในยุคเริ่มต้นคือการทำสงครามกับเหล่าแก๊งสเตอร์รวมไปถึงจอมโจรทั้งหลาย

แน่นอนครับว่าช่วงเวลา Public Enemy เหล่าร้ายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูของรัฐต้องรวม จอห์น ดิลลิงเจอร์ เข้าไปด้วยเนื่องจากดิลลิงเจอร์เป็นโจรปล้นธนาคารที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด (Most Wanted)

มีข้อน่าสังเกตอย่างหนึ่งนะครับว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่เหล่าแก๊งสเตอร์หรือจอมโจรทั้งหลายได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้คนเป็นอย่างมาก จนทำให้เรื่องราวอันน่าตื่นเต้นของคนเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์อยู่เรื่อยๆ

เหล่า Public Enemies ที่ทางการต้องการตัวมากที่สุดนอกจาก ดิลลิงเจอร์ แล้วยังมีจอมโจรหน้าอ่อน “เบบี้เฟซ เนลสัน” (BabyFace Nelson) รวมถึงคู่รักจอมโจรอย่าง “บอนนี่แอนด์ไคลด์” (Bonny and Clyde) ซึ่งเรื่องของขุนโจรเหล่านี้ล้วนถูกหยิบไปสร้างเป็นภาพยนตร์ทั้งสิ้นครับ

กลับมาที่ดิลลิงเจอร์กันต่อครับ, ชื่อเสียงของจอห์น ดิลลิงเจอร์ ได้รับการยอมรับนับถือจากชาวอเมริกันในฐานะเป็นโจรที่พอจะมีคุณธรรมอยู่บ้างจนหลายคนขนานนามเขาว่าเป็น “โรบินฮู้ด” ยุคใหม่เลยทีเดียว

ดิลลิงเจอร์เป็นจอมโจรที่มีเสน่ห์ แต่งตัวดี มีรสนิยมและที่สำคัญมีความฉลาดเฉลียวในการปล้น พูดง่ายๆว่าเขาเป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการโจรแห่งยุคนั้นเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ดิลลิงเจอร์จึงกลายเป็น Public Enemies หมายเลขหนึ่งที่ทางการอเมริกันต้องการตัว

อย่างไรก็ตามจุดจบของดิลลิงเจอร์จะเป็นอย่างไรนั้น ผมคงต้องรบกวนท่านผู้อ่านลองไปดู Public Enemies ของ ไมเคิล มานน์ เองก็แล้วกันนะครับ

พูดถึงตรงนี้ ผมกลับมานึกถึง Public Enemy คนหนึ่งที่รัฐบาลไทยกำลังควานหาตัวกันอยู่จ้าล่ะหวั่นเพราะดูเหมือนว่า Public Enemy คนนี้จะมีที่หลบภัยอยู่หลายแห่งเลยนะครับ ตั้งแต่ตะวันออกกลางไปยังหมู่เกาะแถวๆแคริบเบียน เอ! หรือว่ารัฐบาลไทยต้องใช้บริการเอฟบีไอเสียแล้วล่ะครับ

Hesse004

No comments: