Aug 21, 2008

"The Counterfeiters" ความอยู่รอดบนเรื่องจอมปลอม





ปี ค.ศ.2008 คณะกรรมการคัดเลือกภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมแห่งเวทีออสการ์ได้พร้อมใจกันเลือก Die Fälscher (2007) ให้เป็นภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมแห่งปี (Best Foreign language Film)

Die Fälscher (2007) เป็นภาพยนตร์ออสเตรีย (Austrian Film) ครับ และเป็นผลงานการกำกับของ "สเตฟาน รูโซวิสกี้" (Stefan Ruzowitzky) ผู้กำกับหนุ่มใหญ่จากเมืองเวียนนา

สำหรับชื่อภาษาอังกฤษของ Die Fälscher (2007) นั้นค่อนข้างตรงไปตรงมานั่นคือ The Counterfeiters ซึ่งคำว่า Counterfeit นั้นแปลว่า ปลอมแปลง ครับ

บทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการดัดแปลงจากบันทึกความทรงจำของ “อดอลฟ์ เบอร์เกอร์” (Adolf Burger) หนึ่งในเหยื่อชาวยิวที่เคยถูกฮิตเลอร์และพลพรรคนาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง (The Holocaust)

เบอร์เกอร์ นั้นเป็นยิวที่มีเชื้อสายสโลวัค ครับ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่เผด็จการฮิตเลอร์จุดไฟสงครามขึ้นมานั้น เบอร์เกอร์เองก็ถูกจับเป็นเชลยชาวยิวที่ค่ายนรกออสวิตส์ (Auschwitz Concentration Camp)ในโปแลนด์ อย่างไรก็ตามเบอร์เกอร์นั้นรอดมาด้วยความที่แกเป็นยอดฝีมือทางด้านช่างพิมพ์ (Typography)

เบอร์เกอร์นั้นถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการลับที่ชื่อว่า Operation Bernhard ซึ่งโครงการลับสุดยอดนี้เป็นแนวคิดของนายพลนาซีคนหนึ่งนามว่า “เบอร์นฮาร์ด ครูเกอร์” (Bernhard Krüger) ที่ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจอังกฤษกับสหรัฐอเมริกาด้วยการพิมพ์แบงก์ปอนด์และดอลลาร์ปลอมออกมาจำนวนมากโดยมีวัตถุประสงค์ให้ระบบการเงินของทั้งสองประเทศนี้ระส่ำระสาย

ผมเองก็เพิ่งทราบเหมือนกันครับว่ากลยุทธ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีเรื่องการปลอมแปลงธนบัตรฝ่ายตรงข้ามกันด้วย โครงการลับของเบอร์นฮาร์ดนั้นถูกเก็บเงียบอยู่ที่ค่ายกักกันชาวยิวที่ซัคเซนฮาวเซน (Sachsenhausen Concentration Camp)

ว่ากันว่ากลยุทธ์ปลอมแบงก์ของนาซีครั้งนี้ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งครับ เพราะเหล่ายอดฝีมือปลอมแบงก์ชาวยิวสามารถปลอมแบงก์ปอนด์ได้ถึงเก้าล้านใบ ซึ่งคิดเป็นเงินปอนด์ได้เกือบหนึ่งร้อยสามสิบห้าล้านปอนด์เลยทีเดียวครับ

แหม่! ชาวยิวเนี่ยมีพรสวรรค์หลายด้านเลยนะครับ แม้แต่การปลอมแบงก์ พระเจ้าก็ยังมอบพรสวรรค์พรรค์นี้ให้กับชาวยิวอีกแน่ะ!

สำหรับบทนำของภาพยนตร์เรื่องนี้ตกอยู่กับ “ซาโลมอน ซาโลวิทซ์” (Salomon Sorowitsch) สุดยอดนักปลอมแปลงเอกสารทางการทุกชนิด ไล่ตั้งแต่พาสปอร์ต วีซ่า บัตรประชาชนไปจนกระทั่งแบงก์ดอลลาร์

ซาโลวิทซ์ , นำแสดงโดย คาร์ล มาร์โควิทซ์ (Karl Markovics) นักแสดงชาวออสเตรียน, เป็นชาวยิวที่มีพรสวรรค์ในการวาดรูปโดยเฉพาะการลอกเลียน ด้วยเหตุนี้เองซาโลวิทซ์จึงได้รับมอบหมายให้เป็นหัวเรือใหญ่ปลอมแบงก์ในโครงการลับครั้งนี้

ทั้งหมดนี้ซาโลวิทซ์และผองเพื่อนทำไปเพื่อความอยู่รอดในค่ายกักกันแถมด้วยอาหารและที่นอนดีๆซึ่งเป็นสิทธิพิเศษสำหรับเหล่านักปลอมแบงก์ชาวยิว อย่างไรก็ตามใช่ว่าทุกคนอยากจะทำบาปกันนะครับ โดยเฉพาะ "เบอร์เกอร์"แล้ว เขาต่อต้านนาซีทุกวิถีทางโดยไม่ยอมร่วมมือในโครงการลับนี้แต่โชคยังดีที่แกไม่โดนนาซีฆ่าเสียก่อน เพราะตำแหน่งช่างพิมพ์แบงก์นั้นค่อนข้างหายาก

แม้ว่าซาโลวิทซ์จะได้รับการยอมรับจากพลพรรคนาซีในฝีไม้ลายมือการปลอมแบงก์ที่ยากจะหาที่ติ พูดง่ายๆว่าแบงก์ปอนด์ของซาโลวิทซ์กับแบงก์ปอนด์ของธนาคารกลางแห่งประเทศอังกฤษนั้นแทบจะไม่มีความแตกต่างกันแม้แต่น้อย แต่ด้วยความที่เขาเป็น “ยิว” ซาโลวิทซ์จึงถูกเหยียดหยามหลายอย่าง

ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทางประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองครับ ซึ่งถ้าหากเรามาจัดกลุ่มภาพยนตร์คลาสสิคที่ว่าด้วยสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว Die Fälscher (2007) น่าจะเป็นอีกเรื่องที่ได้รับการบันทึกเข้าไปด้วยนะครับ

จะว่าไปแล้วความโหดร้ายในค่ายกักกันชาวยิวช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นถูกนำมาตีแผ่เรื่องราวบนแผ่นฟิล์มเริ่มจากภาพพยนตร์เรื่อง Schindler's List (1993) ของ “สตีเฟน สปิลเบิร์ก” (Steven Spielberg) ซึ่งสปิลเบิร์กได้ทำให้เราเห็นความเลวร้ายของเหล่านาซีที่กระทำต่อบรรพบุรุษชาวยิวของสปิลเบิร์ก

อย่างไรก็ตามความโหดร้ายในค่ายกักกันก็ไม่ได้ถูกสื่อออกมาในแง่ของความหดหู่ไปซะทีเดียวนะครับ เพราะหนังของ “โรแบร์โต้ เบนจีนี่” (Roberto Benigni) ผู้กำกับอารมณ์ดีชาวอิตาเลียนก็ได้ทำให้ La vita è bella (1997) หรือ Life is beautiful กลายเป็นหนังต่อต้านสงครามที่คลาสสิคและรื่นรมย์ที่สุดเรื่องหนึ่ง

นอกจากนี้ Jakob the Liar (1999) ของ “ปีเตอร์ คาสโซวิทซ์” (Peter Kassovitz) ก็เป็นอีกเรื่องที่กล่าวถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในเมืองเก็ตโต้ (Ghetto) โปแลนด์ โดยประเด็นหลักของเรื่องอยู่ที่การโกหกของ "ยิวจาคอบ"ที่ทำให้เพื่อนร่วมชะตากรรมในค่ายกักกันมีกำลังใจที่จะรอวันที่สงครามสงบ

น่าสนใจนะครับว่าประเด็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือ The Holocaust นั้นได้กลายเป็นพล็อตเรื่องที่เหล่านักทำหนังนิยมนำมาสร้างกัน อาจเป็นเพราะภาพยนตร์นั้นสามารถถ่ายทอดเรื่องราวความโหดร้ายรุนแรงได้เห็นภาพพจน์มากกว่าตัวหนังสือ ซึ่งทำให้ผู้ชมตระหนักถึงภัยร้ายแรงของสงครามโดยเฉพาะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างบ้าคลั่ง

หลายอาทิตย์ก่อนผมมีโอกาสได้ดู Hotel Rwanda (2004) ของ “เทอร์รี่ จอร์จ” (Terry George) ที่ถ่ายทอดเรื่องราวสงครามกลางเมืองระหว่างชนเผ่าทุซซี่ (Tussi) และ ฮูตู (Hutu) ในประเทศรวันดา ซึ่งท้ายที่สุดชาวรวันดาเชื้อสายทุซซี่ที่บริสุทธิ์กว่าแปดแสนคนต้องสังเวยชีวิตไปด้วยสงครามบ้าๆที่แตกแยกกันเพียงเพราะ “เขาไม่เหมือนกับเรา”

ท้ายที่สุดผมไม่รู้ว่า “ความเกลียดชัง” ระหว่างมนุษย์ด้วยกันนั้นมันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ที่แน่ๆบ่อแห่งความชังมักมาจาก “อคติ” ของมนุษย์ด้วยกันเอง ใช่หรือเปล่าครับ

Hesse004

No comments: