Sep 23, 2007

ฤดูกาลที่แตกต่าง “หากไม่รู้จักเจ็บปวด ก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ”




เพลง “ฤดูที่แตกต่าง” หรือ Seasons change ของคุณบอย โกสิยพงษ์ ได้ออกอากาศตามรายการวิทยุประมาณปี 2538 และบทเพลงนี้เองได้ทำให้ชื่อของ บอย (คนเขียนเพลง)และ นภ พรชำนิ (นักร้อง) กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะเจ้าพ่อเพลงรักและผู้ชายโรแมนติค

ผมคิดว่าทั้งภาษาและเนื้อหาที่ปรากฏในบทเพลง Seasons change นั้นจัดได้ว่าขึ้นหิ้งคลาสสิคตลอดกาลไปแล้วก็ว่าได้ครับ

ในอดีตที่ผ่านมาเพลงให้กำลังใจหลายต่อหลายเพลงมีความงดงามจับใจทั้งเนื้อหา และการเลือกใช้ถ้อยคำ อย่างเพลง “กำลังใจ” ของ Hope นั้นก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ฟังเมื่อไรก็รู้สึกดีเสมอ หรือเพลง “คงจะมีสักวัน” และ “ตะกายดาว” ของ เต๋อ เรวัต ก็จัดเป็นเพลงปลอบประโลมชีวิตให้เดินต่อไปในยามที่รู้สึกท้อเช่นเดียวกับเพลง “เธอผู้ไม่แพ้” ของป๋าเบิร์ด ที่เคยเป็นเพลงสัญลักษณ์ใช้เปิดปลอบใจน้องๆผู้พลาดหวังจากการสอบ Entrance หรือเพลง “ Live and Learn” ของคุณบอย ที่ได้คุณกมลา สุโกศล แคลป์ป มาเป็นผู้ขับร้องก็จัดเป็นเพลงปลอบประโลมการชีวิตได้ดีอีกเพลงหนึ่ง

ไม่กี่วันมานี้ผมเพิ่งเจอสภาวะที่เรียกว่า “อารมณ์เป๋ๆ” กล่าวคือ อารมณ์ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยอันเนื่องมาจากความผิดหวังบางอย่างในชีวิต แม้จะไม่มากมายอะไรและยังพอมีโอกาสแก้ตัวได้บ้าง แต่มันก็ทำให้ช่วงเวลานั้นดูหม่นๆไป อย่างไรก็ดีผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราเรียนรู้กับความผิดพลาด และผิดหวังได้มากน้อยแค่ไหนกัน”

โดยส่วนตัวแล้ว, ผมมีความเชื่อว่ามนุษย์เราเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากความทุกข์ได้มากกว่าความสุขสมหวังครับ เพราะความผิดหวังจะทำให้เราได้กลับไปทบทวนและสำนึกดูเสียว่าที่ผ่านมานั้นมันเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา

ธรรมชาติมักเป็น “ครู” ที่ดีให้กับเราเสมอครับ หากเราใคร่สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลแล้ว เราจะเข้าใจสัจธรรมบางอย่างของ “ความเปลี่ยนแปลง” และ “ความไม่จีรังยั่งยืน” เพียงแต่ว่าเราจะเข้าใจกับรหัสต่างๆที่ธรรมชาติต้องการบอกเราได้มากน้อยแค่ไหน

“ฤดูที่แตกต่าง” ขึ้นต้นด้วยเนื้อร้องที่ว่า “อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ”

ผมตั้งขอสังเกตว่ามนุษย์เรามักผูกพันกับ “ฤดูฝน” มากกว่าฤดูใดๆส่วนหนึ่งเพราะฝนทำให้เกิดน้ำและความอุดมสมบูรณ์แต่ในมุมกลับกันฝนได้สร้างความยากลำบากให้กับมนุษย์ ฝนมักมาพร้อมพายุและฟ้าร้องซึ่งเรามักมองว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิต อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถควบคุมปรากฏการณ์ฝนตก ฟ้าร้อง (อาจจะรวมถึงผู้หญิงจะคลอดลูก) ได้ ด้วยเหตุนี้เองที่มนุษย์เรายังด้อยกว่าธรรมชาติอยู่วันยังค่ำ

“อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นใจ อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย” หลายต่อหลายหนที่เราเหมือนจะพ่ายแพ้ หรือไม่ประสบความสำเร็จซึ่งดูเหมือนโลกของเราแทบจะสูญสลายไปต่อหน้า บางคนบอกว่ามันไม่ได้เป็น “The end of the world” บางคนบอกว่า “ท้อแท้ได้แต่อย่าท้อถอย” บางคนบอกว่า “พรุ่งนี้ยังมี” ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นคำให้กำลังใจให้คิดถึงวันใหม่ที่ดีกว่า

มันก็เป็นเช่นนั้นเอง “ประเดี๋ยวก็รุ่งเรืองประเดี๋ยวก็ร่วงโรย” ไอ้คำว่า “ประเดี๋ยว”เนี่ยมันก็เห็นภาพดีเหมือนกันนะครับว่าไม่นาน นั่นก็แสดงว่าเราจะสุขก็คงสุขไม่นาน เราจะทุกข์ก็ทุกข์กันไม่นาน

เพื่อนสนิทผมมันเคยเตือนผมว่า “ให้ประคองตัวเองไปให้ได้ เพราะความเศร้าที่เราเผชิญอยู่นี้เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ซึ่งผมคิดว่าจริงอย่างที่เพื่อนมันพูด

หลายต่อหลายครั้งเวลาที่ผู้ใหญ่ท่านปลอบใจเราประมาณว่า “อย่าไปเอาอะไรกับมันมาก เดี๋ยวมันก็ดีเอง” คำพูดเหล่านี้หากเราคิดกันให้ดีๆมันแสดงให้เห็นถึง “ความเติบใหญ่” (Maturity) ของคนที่ผ่านชีวิตจนเข้าใจอะไรบางอย่างเหมือนที่โบราณว่าไว้ “ผ่านร้อนผ่านหนาว” ซึ่งก็อิงกับฤดูกาลอีกเหมือนกัน

สุดท้ายผมคิดว่ากำลังใจที่ดีที่สุดในการปลอบประโลมเวลาเราทุกข์ใจ คือ กำลังใจจากตัวเราเองครับ เพราะหากเราผ่านวันที่เลวร้ายเหล่านั้นไปได้ เราจะรู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งและอดทนอย่างประหลาด มันเหมือนได้รับการฉีดวัคซีนกันทุกข์ไปเรียบร้อยแล้วซึ่ง “หากไม่รู้จักเจ็บปวดก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ”ใช่มั๊ยครับ

Hesse004

No comments: