Jul 4, 2010

“ชีวิตโสด” กับ "ข้ออ้างเรื่องความฝัน"





ผมนึกถึงจั่วหัวเอนทรี่นี้แบบ “วาบความคิด” ขอใช้สำนวนของบรมครูนักเขียนอย่างครู “อาจินต์ ปัญจพรรค์” เสียหน่อยนะครับ

บ่อยครั้งไอ้อาการ “วาบความคิด” นี้เองที่ทำให้ผมนั่งเขียนโน่นเขียนนี่ได้เป็นตุเป็นตะ

ลองนั่งย้อนกลับไปดูตัวเองถึงวันแรกที่เริ่มต้นเขียนบล็อกกับวันนี้ ผมเองรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในความคิดของตัวเองไม่น้อย

จริง ๆ แล้ว กัลยาณมิตรหลายท่านแนะนำให้ผมเขียนเรื่องอะไรใกล้ตัวบ้างหรือออกไปในแนว “เบาสมองแต่ออกกำลังความคิด” ไปพร้อม ๆ กันด้วย ซึ่งผมเองก็หมั่นพยายามฝึกฝนการเขียนแนวนี้อยู่เหมือนกันนะครับ

ที่ว่าวาบความคิดถึงหัวเรื่องที่ว่า “ชีวิตโสด กับ ข้ออ้างเรื่องความฝัน” เกิดขึ้นเพราะผมกับเพื่อนอีกท่านหนึ่งที่เผอิญเป็น “โสด” ด้วยกันทั้งคู่นั่งคุยกันถึงเรื่องการมีครอบครัว การมีชีวิตคู่ การมีลูก ที่ต่างคนพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนไอ้อาการ “องุ่นเปรี้ยว” ของตัวเองว่าไอ้ชีวิตโสดที่พวกตรูเหลืออยู่นั้นมันช่างวิเศษเพียงใด

ผมแอบเปรียบเทียบให้ไอ้เพื่อนท่านนั้นฟังสั้น ๆ ว่า “ก็ยังดีที่กูกับมึงยังไม่หลงเข้าไปในกับดัก”

คงเป็นเรื่อง “ตาบอดคลำช้าง” แน่ ๆ ที่คนไม่เคยใช้ชีวิตคู่อย่างพวกกระผมจะมา “ด่วนสรุป” กันเอาเองว่าการมีชีวิตครอบครัวนั้นมันดูจะ “น่ากลัว” มากกว่า “น่าพิสมัย”

จะว่าไปแล้วคนโสดนั้นมีเพลงประจำชาติอยู่หลายเพลงนะครับ เอาตั้งแต่เพลงแรกเลยคงต้องย้อนไปถึง “สามสิบยังแจ๋ว” ของคุณยอดรัก สลักใจ ที่กลายเป็นเพลงชาติสำหรับสาวโสดอายุขึ้นต้นด้วยเลขสาม ซึ่งหากจะว่าไปพอมาถึงสมัยนี้แล้วเพลงสามสิบยังแจ๋วคงจะร้องได้ไม่เต็มปากเท่าไรนักเพราะสาวสามสิบเดี๋ยวนี้อย่าว่าแต่ “แจ๋ว” เลยครับคุณเธอยัง “เจ๋ง” กว่าผู้ชายอกสามศอกเป็นไหน ๆ

ด้วยความเคารพในเพศแม่, ผมเองรู้สึกว่าผู้หญิงนั้นมีเสน่ห์ทุกวัยแหละครับไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหนก็ตาม

ส่วนเพลงชาติของเหล่าชายโสด ผมขอยกให้เพลง “หัวใจบ้าบิ่น” ของน้าแอ๊ด คาราบาว เลยครับ สำหรับผมแล้ว ฟังเพลงนี้ทีไรประมาณว่า “โดนใจทุกครั้ง”ไป

ในฐานะสาวกบาวคนหนึ่ง ผมชอบท่อนที่ร้องว่า “ไม่อยากให้ใครสมน้ำหน้า ว่าเป็นคนไม่มีน้ำยา ไม่อยากให้ใครเค้าดูถูก เยี่ยงสุนัขแหงนมองเครื่องบิน”

แหม่ ! ฟังแล้วเหมือนมันจะบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่าจริง ๆ แล้วกูก็มีปัญญาหาเมียกับเค้าได้เหมือนกันนะเฟ้ย

เรื่องที่น่าถกเถียงสำหรับผู้ชายโสดที่มีวัยสมควรจะมีครอบครัวได้แล้ว คือ เอาเข้าจริง ๆ ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันพิสมัยวิไลศักดิ์กับการอนุรักษ์พันธุ์ไม้ป่าเดียวกันหรือเปล่า?

พูดแบบไม่อ้อมก็คือ ตกลงมึงแมนจริงหรือเปล่าวะ?

ด้วยความเคารพในเพศพ่อครับ, ผมว่าใครจะแมนไม่แมน ใครจะเกย์ไม่เกย์ ล้วนแล้วแต่เป็นรสนิยมทางเพศ ซึ่งหากเราเคร่งครัดใน “ทฤษฎีการบริโภคของวิชาเศรษฐศาสตร์” แล้ว เราจะเชื่อในความหลากหลายของรสนิยมของแต่ละคนครับ ซึ่งสำหรับผมแล้วผมว่าเป็นเรื่องปัจเจกเอามาก ๆ ที่เราควรจะตัดสินใจเลือกรสนิยมเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะพึงพอใจกับสิ่งที่เราบริโภคนั้นเช่นไร

กลับมาที่เพลงชาติคนโสดกันต่อดีกว่าครับ สำหรับเพลงชาติคนโสดที่มักร้องประชันกันในเวทีคาราโอเกะ เห็นจะหนีไม่พ้น “ทางเดินแห่งรัก” ของพี่แอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร ซึ่งได้พี่ดา ศักดา พัทธสีมา มาร่วมแจมคอรัสด้วย

“ก็ยังคงเดินทาง ยังคงเดินไป หาใครบางคน”
“ยังเต็มใจที่จะตามค้นหา และปฏิเสธที่จะท้อใจ”
“ยินดีที่จะเฝ้ารอ เพื่อเติมเต็มสิ่งที่หายไป”

ผมว่าเนื้อเพลงนี้ดีนะครับ เป็นเพลงที่เข้าอกเข้าใจชีวิตคนโสดเป็นอย่างดี… ใช่แล้วล่ะครับ การตามหาคน ๆ หนึ่งที่ “เหมาะ” หรือ “แมตช์” กับเรานั้นมันต้องใช้เวลาพอสมควร บางคนหามาตลอดชีวิตก็ยังไม่เจอ แต่ก็ยังดีนะครับที่ได้หา แต่บางคนต่างหากที่หาเจอแล้วกลับปล่อยคนที่ “ใช่” นั้นเดินจากไป ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดายและเสียใจอยู่ไม่น้อย

จะว่าไปแล้วไม่ว่าชีวิตโสดหรือชีวิตคู่นั้นทุกคนล้วนมี “ต้นทุน” ด้วยกันทั้งนั้นนะครับ โดยเฉพาะหากมองแบบนักเศรษฐศาสตร์แล้วล่ะก็ การเลือกทุกครั้งย่อมมี “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” เกิดขึ้นเสมอแหละครับ

ชีวิตโสดมีต้นทุนเรื่องความเหงาในปัจจุบันและอาจพ่วงต่อไปถึงอนาคตหากวันหนึ่งต้องอยู่ดูแลตัวเองคนเดียวอย่างเงียบเหงา

ส่วนชีวิตคู่นั้นก็มีต้นทุนเช่นกันครับ ตั้งแต่การปรับตัว การปรับใจ ต้นทุนในการสร้างครอบครัว ต้นทุนในการเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น

ในวิชาเศรษฐศาสตร์นั้นมีสาขาเศรษฐศาสตร์แขนงหนึ่งที่เรียกว่า Family Economics หรือถ้าแปลเป็นไทยคงประมาณว่า “เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยครอบครัว” วิชานี้ได้รับการพัฒนาจากปรมาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลนามว่า แกรี่ เบคเกอร์ (Gary Becker) ครับ

เบคเกอร์ อธิบายตั้งแต่ทฤษฎีการเลือกคู่ (Mate Selection) เหตุผลการแต่งงานมีครอบครัว เหตุผลในการหย่าร้าง แถมยังมองว่า “การมีลูก” เป็นการลงทุนชนิดหนึ่งซึ่งก็จะอยู่ที่ว่าผู้ผลิตคือคุณพ่อคุณแม่จะเลือกลงทุนมีลูกโดยเน้นที่ปริมาณ (Quantity) หรือจะเน้นปั๊มลูกอย่างมีคุณภาพ (Quality) นี่ยังไม่นับรวมว่าจะมีลูกอีกกี่คนดีถึงจะทำให้ฐานะครอบครัวอยู่ในสภาวะอุตมภาพ (Optimization)

แหม่ ! นี่หากคิดมากแบบปรมาจารย์เบคเกอร์ เราคงเลือกจะอยู่ครองโสดมากกว่าจะแต่งงานนะครับ แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่เบคเกอร์อธิบายนั้น คือ พฤติกรรมของมนุษย์ในการเลือกคู่ที่ยังไงก็หนีไม่พ้นเรื่องของ “การเลือก” ซึ่งก็คือหัวใจของวิชาเศรษฐศาสตร์นั่นเองแหละครับ

ถ้ามองแบบไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์บ้าง ผมว่าคนโสดหลายคนทั้งชายหญิง แม้จะมีความรักหรือแม้จะมีคนรัก แต่การเลือกที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าจะมีครอบครัวนั้น ผมว่าชาวโสดส่วนใหญ่ยังมี “ความฝัน”ที่ตัวเองยังทำไม่เสร็จหรือยังไม่ได้ทำและก็อาจไม่แน่ใจว่าคู่ที่ตัวเองจะเลือกเข้ามาในชีวิตนั้นจะสามารถมา “เติมฝัน”หรือ”สานฝัน” พร้อมกับตัวเองได้จริงหรือเปล่า

ด้วยเหตุนี้คนโสดหลายคนจึงไม่อยากทิ้งความฝันของตัวเองไปหรอกครับ และเลือกที่จะทำฝันนั้นด้วยตัวของตัวเองดีกว่า

ขณะที่หลายท่านฝันไกลไปกว่านั้น คือ มีปณิธานตั้งมั่นใน “พระนิพพาน”ที่ไม่ต้องการกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว ซึ่งผมว่าเมื่อคนเราเข้าใจอะไรถึงจุดหนึ่งมากพอแล้ว “การไม่กลับมาเวียนว่าย” นั้นน่าจะเป็นหนทางหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ดีที่สุดแล้วล่ะครับ

ท้ายที่สุดผมว่าคนเราทุกคนมีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้นนะครับ เหตุผลที่จะเลือกมีชีวิตโสด เหตุผลที่จะเลือกมีชีวิตคู่ แม้ว่าหลายคนจะมองคนโสดว่าเอา “ข้ออ้างเรื่องความฝัน” มาเป็นเหตุกลบเกลื่อนแต่หากเอาเข้าจริงแล้วไอ้ข้ออ้างเนี่ยแหละครับที่เป็นเหตุผลให้ใครหลายคนเลือกที่จะใช้ชีวิตตามทางของตนเองที่ไม่จำเป็นต้องเดินตามทางใครหรือพูดให้นักเลงหน่อย คือ ไม่จำเป็นต้องย่ำรอยตีนใคร เข้าทำนองเพลง My Way (1969) ของ แฟรงค์ ซินาตร้า (Frank Sinatra)

เขียนมาถึงตรงนี้สงสัยผมต้องบรรจุเพลงชาติสำหรับคนโสดภาคภาษาอังกฤษเข้าไปอีกสักเพลงแล้วสิครับเนี่ย …Yes, it was my way!!

Hesse004

1 comment:

Unknown said...

ไม่มีเพลงที่ต้วนว่ามาหลายๆเพลงในหัวเลยล่ะ ประโยคในเพลงเพลงหนึ่งที่แว้บเข้ามาตอนเห็นชื่อ blog คือ ...ฝันไม่เสร็จ อย่าทิ้ง ไว้ตามริมทาง ^_^

บางที การมีชีวิตคู่ อาจทำให้เราฝันไม่ได้จนสุดทางก็ได้ ยิ่งฝันว่าจะไม่เวียนว่าย แต่ดันขอมีคนมาร่วมทางชีวิตเพื่อให้ใจไม่เปลี่ยวเหงาเกินไปในชีวิตปัจจุบันก่อน มันก็คงยากที่จะเดินตามฝัน ...

เว้นแต่ คู่ชีวิตคนที่ว่าจะมาพาให้เดินไปบนเส้นทางนี้อย่างมั่นคง (อันนี้ล่ะ ข้ออ้าง เพราะความน่าจะเป็นที่จะเจอคนคนนั้น มันยากมากๆๆๆๆ)


ฝันแล้ว ทำเอง ดีกว่าเนอะ อย่าหวังไปพึ่งใครเลย เวลาที่จะทำความฝันให้เป็นจริงก็สั้นยิ่งลงทุกวันๆ ^_^