Jan 31, 2010

“ก้อนหินก้อนนั้น” ปรัชญาของการปล่อยวาง…แต่ไม่ใช่ทิ้งขว้าง





เอนทรี่นี้ขออนุญาตสลับมาเล่าเรื่อง “เพลง” บ้างนะครับ หลังจากเขียนถึงเรื่องหนังเสียส่วนใหญ่

จะว่าไปแล้ววงการเพลงไทยดูจะมีเพลงให้ฟัง “หลากหลาย” นะครับ มีศิลปินหน้าใหม่เกิดดับไม่เว้นแต่ละวัน อย่างไรก็ตามเพลงตลาดส่วนใหญ่มักจะเลือนหายไปตามกาลเวลา ซึ่งนั่นหมายความว่า “คุณค่า” ของเพลงเหล่านี้หมดสมัยไปพร้อม ๆ กับกระแส (Hit)

ในฐานะที่ชอบฟังเพลง ผมมักจะชอบดูความหมายของเนื้อเพลงไปด้วยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมชอบอ่านอะไรบางอย่างใน “เนื้อเพลง”

แน่นอนครับว่าทุกวันนี้บ้านเรามี “คนแต่งเพลง” มากมายซึ่งคนแต่งเพลงเหล่านี้มักจะสะท้อนตัวตนของเขาผ่านเนื้อเพลงที่พวกเขาเขียน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก๋าอย่างคุณ “ดี้” นิติพงษ์ ห่อนาค ที่เขียนเพลงออกมาได้ “โดน” ใจตั้งแต่คนหนุ่มยันคนแก่ คุณ “สีฟ้า” ที่เขียนเพลงเพราะได้เป็นอมตะ หรือจะเป็นรุ่นกลาง ๆ อย่างคุณบอย โกสิยพงษ์ ที่เขียนเพลงรักได้ถูกใจยิ่งนัก ส่วนรุ่นใหม่ผมขออนุญาตยกตำแหน่งนี้ให้กับคุณบอย “ตรัย ภูมิรัตน์” ที่เขียนเพลงรักได้ “ละมุนละไม” ไม่แพ้คุณบอยใหญ่เลยทีเดียว

โดยส่วนตัวแล้วผมมีเพลงโปรดอยู่หลายเพลงนะครับ เพลงที่ชอบและโดนใจที่สุดเห็นจะเป็น เพลง “ทะเลใจ” ของน้าแอ้ด คาราบาว ที่รู้สึกว่าฟังกี่ครั้งกี่ครั้งก็รู้สึก “คิดตาม” ได้เสมอ หรือจะเป็นเพลงอย่าง “วันเวลา” ของน้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ที่ฟังทุกครั้งก็รู้สึกถึง “ความเหงา” เช่นเดียวกับเพลง “คืนรัง” ของน้าหงา คาราวาน ที่ฟังแล้วรู้สึก “พ่ายแพ้” ตามคนร้องไปด้วย

ทั้งหมดที่ว่ามาเป็น “เพื่อชีวิต” เสียหมดเลยนะครับ นั่นแสดงให้เห็นว่าเพลงเพื่อชีวิตนั้นมีเนื้อหาที่ค่อนข้าง “กินใจ” และทำให้เราได้คิดมากกว่าเพลง “รัก” ทั่ว ๆ ไป อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเพลงสตริงจะไม่มีเพลงที่ให้ “ขบคิด” ด้วยเหมือนกันนะครับ ทั้งนี้เพลงอย่าง “เก็บตะวัน” ของคุณอิทธิ พลางกูร ก็เข้าขั้นว่าคลาสสิค พอ ๆ กับเพลงร็อครุ่นเก๋าอย่าง “อย่าหยุดยั้ง” ของดิโอฬาร โปรเจคต์ ที่ฟังทุกครั้งแล้วเกิดอารมณ์ฮึกเหิมขึ้นมา หรือจะเป็นเพลงอย่าง “หยุดมันเอาไว้” ของพี่หนุ่ย อำพล ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเพลงที่ตั้งคำถามสอนใจได้ดีว่าทุกวันนี้เรากำลังวิ่งตามหาอะไรกันอยู่

เพลงที่แฝงปรัชญาต่าง ๆ เหล่านี้มักจะถูกนำเสนอผ่านศิลปินที่โดยส่วนตัวแล้วผมว่าพวกเขา “เข้าใจโลก และชีวิต” มาในระดับหนึ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้เองเนื้อหาและอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมานั้นจึงอยู่บนฐานของการ “มองโลก” อย่างที่ “เป็นอยู่” มากกว่าอย่างที่ “ควรจะเป็น”

ผมเคยนั่งถกปรัชญาชีวิตกับเพื่อนฝูง รุ่นพี่รุ่นน้องในวงเหล้า รวมไปถึงนั่งทบทวนความคิดเวลากินเหล้าคนเดียว ผมรู้สึกว่า “เหล้า” ทำให้เราสามารถ “จุดประกายความคิด”อะไรบางอย่างได้มากกว่าตอนที่เราดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่น (อ้อ! อาจจะยกเว้นกาแฟ) แต่อย่างไรก็ตาม ผมว่าการดื่มอย่างมี “สติ” ต่างหากที่น่าจะทำให้ประกายความคิดของเราชัดเจนมากกว่าที่เราจะเมาอย่างไม่มีสตินะครับ

สิ่งหนึ่งที่ผมเริ่มเข้าใจมากขึ้นในวันที่อายุเลยเลขสามมาสักพักหนึ่งแล้ว คือ การรู้จักใช้ชีวิตครับ เคยมีเพื่อนคนหนึ่งบอกผมไว้ว่า “เราควรใช้ชีวิตให้เป็น แต่ไม่ใช่ใช้ชีวิตให้เปลือง” แหม่! คมดีมั๊ยครับ

ดูเหมือนว่าชีวิตคนเรามันจะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมของมันเองเสมอ เช่น เมื่ออยู่ในวัยเด็ก ก็ควรมีความสุขกับการเล่น เพลินกับจินตนาการของตัวเองมากกว่าจะมานั่งหลังขดหลังแข็งเรียนกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โตเข้าสู่วัยรุ่นหน่อยก็ควรจะเรียนให้สำเร็จ รู้จักใช้ชีวิตกับเพื่อนฝูง สนุกสนานอย่างมีสติ ใช้ชีวิตในแบบที่อยากใช้ พอเข้าสู่วัยทำงาน ก็ควรมีความรับผิดชอบดูแลหาเลี้ยงตัวเอง ดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด

ทั้งหมดที่ว่ามานี้หากเรา “พลาด” ไปช่วงใดช่วงหนึ่งแล้ว ดูเหมือนว่าเวลามันจะไม่หมุนย้อนกลับมาให้เราได้แก้ตัวอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ตามชีวิตมีโอกาสอยู่เสมอแหละครับ ขอให้ “คิดได้”หรือ “คิดเป็น”

เช่นเดียวกับในวาบหนึ่งของความคิดตอนนั่งกินเหล้าคนเดียว ผมเริ่มคิดได้ว่าจริงๆแล้วปัญหาบางเรื่องที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้นมันควรที่จะ “ปล่อยวาง…แต่ไม่ได้ทิ้งขว้าง” ซึ่งพอนึกถึงอย่างนี้แล้วก็ทำให้คิดถึงเพลง “ก้อนหินก้อนนั้น” ของคุณโรส ศิรินทิพย์ ที่ได้คุณดี้มาเขียนเนื้อให้

ผมว่าเพลงนี้ตอบปัญหาความทุกข์ได้ทุกรูปแบบเลยนะครับ โดยเฉพาะการรู้จักที่จะหัดปล่อยวาง ซึ่งคุณดี้เขียนเนื้อไว้ได้ดีว่า

“ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง ให้เธอคิดเอาเอง ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ ถูกเขาทำร้ายเพราะตัวเธอแบกรับไว้เอง”

ผมว่าแค่ท่อนฮุคนี่ก็น่าจะสอนอะไรเราได้หลายอย่างแล้วนะครับ โดยเฉพาะการ “แบก” สิ่งต่างๆไว้กับตัวเอง

อย่างไรก็ดีดูเหมือนว่า “การหัดปล่อยวาง” น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด มากกว่าที่จะทิ้งขว้างหรือหนีปัญหานั้นไปเลย พูดภาษาชาวบ้านหน่อยก็คือ “ช่างแม่งเถอะ” (อันนี้อาจจะออกแนวประชดประชัน)

ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ เราจะสร้าง “ห่วง” ให้กับตัวเองกันไม่รู้จักหยุดหย่อนนะครับ ห่วงที่ว่านี้มีตั้งแต่ ห่วงอาวรณ์ ห่วงหาอาทรณ์ เป็นห่วงเป็นใย ห่วงใยใส่ใจ ซึ่งไอ้ห่วงที่ว่านี้แหละครับ คือ สิ่งที่เราแบกกันไว้ทั้งหมด อย่างไรก็ดีเราก็ยังมีความสุขอยู่กับ “ห่วง” เหล่านี้อยู่ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าวันหนึ่งห่วงเหล่านี้มันจะต้องทำให้เราทุกข์ใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าให้เรามาปลดห่วงกันหรอกนะครับ เพียงแต่ลองหันกลับมาคิดว่าหากวันหนึ่งไอ้ห่วงเหล่านี้มันทำให้เรา “ทุกข์” แล้ว เราจะลองปล่อยวางห่วงลงบ้างก็คงไม่เห็นเป็นไร แต่ไม่ใช่เราโยนห่วงเหล่านั้นทิ้งไปเสียเลย

ผมว่าคนเราทุกคนมี “ผลึกทางความคิด” ด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ ผลึกเหล่านี้มันได้สะท้อนให้เห็นถึงปรัชญามุมมองหรือวิธีการที่เราจะรู้จัก “รับมือ” กับชีวิต ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วสิ่งต่างๆที่เล่ามานี้ล้วนแล้วแต่เป็น “ศิลปะของการใช้ชีวิต” ด้วยกันทั้งสิ้นนะครับ ซึ่งหากมองแบบนักเศรษฐศาสตร์แล้วผมว่าทุกสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อสนองตอบต่อ “ความพึงพอใจสูงสุด” หรือ Maximize Utility ของการมีชีวิตอยู่ภายใต้ระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดไงล่ะครับ

Hesse004

1 comment:

Unknown said...

ขอค้านเรื่องการดื่มอย่างมี 'สติ' หน่อยเถอะ ข้ออ้างที่ฟังแล้วดูดี แต่สติน่ะหลุดตั้งแต่จรดปากกับแก้วแล้วจ้า ^_^

เดี๋ยวนี้ฟังเพลงไม่เพราะ ไม่อินเหมือนก่อน ยังชอบเพลงบางเพลงที่เคยชอบ แต่มันไม่รู้สึกแหลมลึกเท่าก่อนน่ะ แปลกเนอะ หรือวัยมันมากขึ้นก็ไม่รู้สิ = ="

ปล่อยวางด้วยการคิดเอาน่ะ วางได้เป็นพักๆนะ ยังวางได้ไม่จริงหรอกต้วน

ขอให้ต้วนพบหนทางที่จะวางหินแต่ละก้อนที่ถืออยู่แล้วกันนะ *_*