Apr 15, 2009

นาฬิกาชีวิต





ปลายเดือนที่แล้ว ผมต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหันด้วยสาเหตุของอาการไส้ติ่งอักเสบ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องเข้าไปนอนโรงพยาบาลครับ

อาการไส้ติ่งอักเสบเนี่ยมันมาแบบไม่ค่อยจะรู้เนื้อรู้ตัวเลยนะครับ อย่างไรก็ตามอาการบางอย่างที่เริ่มฟ้องว่าจะเป็นไส้ติ่งดูเหมือนจะเป็นอาการอาหารไม่ย่อยครับ หลังจากนั้นเราจะเริ่มปวดท้องแบบไม่สบายเนื้อสบายตัวตามมาด้วยปวดแบบหน่วงๆบริเวณท้องน้อยด้านขวา

อาการปวดท้องเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมเลยโทรปรึกษาน้องสาวที่เป็นหมอ เจ้าน้องสาวผมแนะนำให้รีบไปโรงพยาบาลด่วนที่สุด

ประมาณตีสามของคืนวันอาทิตย์ที่ 29 หมอจัดการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบซึ่งหากช้ากว่านี้ไส้ติ่งอาจแตกได้ นับว่าโชคดีไม่น้อยที่เจ้าน้องสาวได้เตือนให้รีบเข้าโรงพยาบาลด่วน จะว่าไปแล้วไอ้อาการปวดไส้ติ่งเนี่ยมันเปลี่ยนแปลงทุกชั่วโมงเลยนะครับ

หลังจากผ่าตัดเสร็จ หมอแนะนำให้ผมพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 3 วัน และแนะนำให้อย่าเพิ่งซ่าส์ยกของหนัก รวมไปถึงพักผ่อนอยู่ที่บ้านประมาณสองอาทิตย์รอให้แผลมันสมานกันเสียก่อน

เวลาเจ็บป่วยขึ้นมาอย่างกะทันหันเนี่ยมันทำให้เรา “คิค” อะไรได้เยอะเหมือนกันนะครับ

การดูแลสุขภาพนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งของการใช้ชีวิต และเมื่อเราเริ่มมีอายุมากขึ้น “สุขภาพแข็งแรง” ดูเหมือนจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดมากกว่าทรัพย์สินเงินทอง

ช่วงระหว่างที่นอนอยู่โรงพยาบาล ผมนึกถึง “ความสมดุล” ในการใช้ชีวิตของผมที่ผ่านมา ซึ่งจะว่าไปแล้วผมได้ละเลยไอ้เจ้า “สมดุล” ของชีวิตมาโดยตลอด

ขออนุญาตเล่าเรื่องส่วนตัวเพื่อเป็นอุทาหรณ์นิดนึงนะครับ โดยปกติแล้วผมเป็นคนนอนดึกมากๆ คำว่าดึกมากๆนั่นคือ ตีสองถึงตีสี่บางทีล่วงไปถึงตีห้า เหตุที่ชอบนอนดึกก็เพราะผมชอบทำงาน อ่านหนังสือและเขียนหนังสือในเวลากลางคืนครับ

เมื่อนอนดึก เวลาในการพักผ่อนของผมจึงแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป เวลาส่วนใหญ่ที่ผมจะตื่น คือ สิบโมงเช้า บางครั้งสิบเอ็ดโมง นั่นหมายถึงอาหารเช้าผมได้หายไปมื้อหนึ่ง เมื่อตื่นมาอาหารมื้อแรกของผมคือ “กาแฟดำ” ครับ

กว่าผมจะกินข้าวเช้าจริงๆบางทีก็ล่วงไปถึงบ่ายโมงครึ่ง บ่ายสองโมง มื้อเช้าผนวกรวมกับมื้อกลางวันทำให้ผมต้องกินมากกว่าปกติ

พูดถึงกาแฟเนี่ย ผมกินกาแฟเฉลั่ยวันละสองแก้ว วันไหนครึ้มหน่อยก็กินสามครับ เคยจดสถิติสูงสุดได้ว่ากินเจ็ดแก้วในหนึ่งวัน ซึ่งมาถึงตอนนี้แล้วผมพยายามจะเลิกกินกาแฟแล้วครับ


วงจรชีวิตของผมส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้มานานร่วมปีได้แล้วครับ ด้วยความเป็น “นักเรียนโข่ง” ที่ลางานราชการออกมาเรียนต่อทำให้เวลาในการใช้ชีวิตของผมแตกต่างไปจากเดิมที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าทำงานให้ทันเก้าโมง


ระหว่างที่นอนพักผ่อน (แบบจำใจ) อยู่ที่โรงพยาบาล ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มเล็กเรื่องหนึ่งที่ชื่อ “นาฬิกาชีวิต” หนังสือเล่มนี้แต่งโดยท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ครับ

หนังสือเล่มนี้เล่าถึงศาสตร์ของการแพทย์ตะวันออกที่เชื่อว่ากลางวันและกลางคืนนั้นมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกกันไม่ออก ด้วยเหตุนี้เองช่วงเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์เราจึงมีการไหลเวียนของพลังงานชีวิตผ่านอวัยวะต่างๆภายในร่างกายซึ่งอาจารย์สุทธิวัสส์ ท่านแบ่งออกเป็นอวัยวะตันและอวัยวะกลวงครับ

“อวัยวะตัน” ได้แก่ หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต ขณะที่ “อวัยวะกลวง” ได้แก่ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ และระบบความร้อนในร่างกายเรา

ด้วยเหตุนี้การไหลเวียนของพลังชีวิตหรือที่เรียกว่าลมปราณ (ชี่) นั้นจะต้องผ่านอวัยวะต่างๆเหล่านี้ 12 อวัยวะในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง หรือหนึ่งวันซึ่งเรียกว่า “นาฬิกาชีวิต” (Biological Clock)นั่นเองครับ

น่าสนใจว่าตลอดระยะเวลาในหนึ่งวัน อวัยวะของเรามันมีช่วงเวลาการทำงานของมันอย่างเป็นระบบ เช่น ช่วงเวลาตีหนึ่งถึงตีสามเป็นช่วงเวลาของตับครับ ด้วยเหตุนี้เราควรนอนพักผ่อนให้หลับสนิทในช่วงเวลานี้ การที่เราสามารถหลับได้อย่างสนิทจะทำให้ตับหลั่งสารมีราโทนิน (Meratononine) เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในร่างกายรวมถึงหลั่งสารเอนโดฟิน (Endophin) สร้างความสุขอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรกินอาหารในช่วงดึกเพื่อไม่ให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว

นอกจากนี้อาจารย์สุทธิวัสส์ยังแนะนำ “เมนูอาหารสุขภาพ” ซึ่งเมนูส่วนใหญ่ทำไม่ยาก เช่นเอาสัปปะรดมาปั่นกับใบโหระพา หรือ โยเกิร์ตผสมน้ำผึ้ง มะนาวและนมสด กินทุกเช้าจะเป็นเมนูล้างลำไส้ใหญ่ไปในตัวดว้ย อ้อ !เมนูอันหลังนี้อาม่าผมท่านเรียกชื่อให้ใหม่ว่า “โยโกะ” ครับ 5 5!!

ศาสตร์การแพทย์ตะวันออกไม่ว่าจะเป็นการรักษาแบบแพทย์แผนจีนหรือการออกกำลังกายแบบโยคะเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยนะครับเพราะดูเหมือนว่า “ภูมิปัญญาตะวันออก” จะมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้สอดคล้องกับธรรมชาติอย่างเรียบง่ายโดยไม่ต้องเบียดเบียนธรรมชาติ

หนังสือเล่มนี้เปิดโลกทัศน์เรื่องการดูแลสุขภาพแบบใกล้ตัวซึ่งจะว่าไปแล้วเราไม่ต้องไปเสียเงินทองบำรุงดูแลอะไรมากมายเลย เพียงแค่เราใช้ชีวิตให้มันสมดุลและตั้งเวลาชีวิตให้ตรงกับนาฬิกาชีวิตไงล่ะครับ

Hesse004

1 comment:

Unknown said...

มาอวยพรให้หายเจ็บหายไข้นะ
(แต่ว่า...หายแล้วนี่นา ^ ^)

พี่ตื่นมาวิ่งตอนเช้าทุกวันเลยล่ะช่วงที่กลับไปบ้านตอนสงกรานต์ วิ่งในสวนสาธารณะใกล้บ้าน วิ่งไปฟังนกร้องไปและฝึกสติไป มีความสุขชะมัด (มีความสุขที่รู้ว่าระหว่างเท้ากำลังเคลื่อนไหว ใจดันไปคิด ไปนึก โมโหคนโน้น คิดถึงคนนี้ แว้บไปแว้บมา ไม่เคยหยุดนิ่ง แปลกดีมั้ยล่ะ?? )

หลายปีมานี้ มีอยู่หลายครั้งที่เวลากินอะไร จะระวังนิดหนึ่ง เพราะสงสารท้อง สงสารระบบย่อยอาหาร จะเคี้ยว จะกินก็เลยช่วยมันนิดหนึ่ง เวอร์ไปหรือเปล่าไม่รู้ ^ ^ แต่พอนึกเมตตาตัวเอง มันก็เลยเผื่อแผ่ไปถึงสิ่งมีชีวิตรอบตัวไปด้วย

เอามาแลกเปลี่ยนกับคนที่เพิ่งหายป่วยไข้จ้า