Jun 3, 2009

ความฝันโง่ๆที่เดินไปตามความเชื่อ





ผมจั่วหัวเอนทรี่นี้ด้วยภาษาที่ไม่ค่อยไพเราะเท่าไรนะครับ จริงๆแล้วคำว่า “โง่” (Foolish / Stupid) เป็นคำคุณศัพท์ที่ไม่ค่อยมีใครอยากให้มันเข้าไปขยายสักเท่าใดนัก

เหตุที่ผมขึ้นต้นเอนทรี่นี้ด้วยคำว่า “ความฝันโง่ๆ” นั้นก็เนื่องมาจากเป็นชื่อหนังสือเสริมกำลังใจชุดสองของคุณวินทร์ เลียววาริณ ที่ได้หยิบเอาสิ่งละอันพันละน้อยมาเขียนให้ข้อคิดและกำลังใจกับคนที่กำลังเริ่มจะหมดอาลัยตายอยากในชีวิต

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ผมชอบมากเล่มหนึ่งครับ เพราะนอกจากจะเป็นแฟนหนังสือของคุณวินทร์แล้ว ผมยังมองว่าคุณวินทร์มีมุมมองและวิธีคิดในการจัดการกับปัญหาได้ดีไม่น้อย

น่าสนใจนะครับว่า คนเราทุกคนล้วนต้องการกำลังใจด้วยกันทั้งนั้น คงเพราะไม่มีใครที่จะเข้มแข็งได้ตลอดเวลา

ด้วยเหตุนี้เองคำว่า “กำลังใจ” จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของการมีชีวิต ด้วยความที่มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมที่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในสังคม ทำให้ความสัมพันธ์ต่างๆเหล่านี้กลายเป็นความผูกพันก่อนที่จะพัฒนามาเป็นความรักความห่วงใยและความเอื้ออาทรต่อกัน

ในมิติของวิชาเศรษฐศาสตร์นั้นมองว่าการสร้างกำลังใจเป็นผลกระทบภายนอกทางบวกหรือ Positive Externality ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของบุคคลอื่นๆแต่ส่งผลทางบวกต่ออรรถประโยชน์ (Utility) ของผู้บริโภคกำลังใจนั้น

กำลังใจนั้นมาได้จากหลายทางนะครับ นอกจากคำพูดดีๆของใครคนใดคนหนึ่งแล้ว การสวมกอด การมองตา หรือแม้แต่การพยักหน้ารับฟังด้วยความเข้าอกเข้าใจก็นับเป็นกำลังใจที่ดีอย่างหนึ่งแล้ว

อย่างที่เรียนไปตอนต้นแล้วนะครับว่า มนุษย์เราไม่มีใครเข้มแข็งได้ทุกวันหรอกครับ บางวันอาจจะเป็นวันที่ดีของเรา บางวันอาจจะไม่ใช่ แต่เมื่อมันไม่ใช่วันของเราแล้วเราจะมีวิธีจัดการกับชีวิตอย่างไรให้มีความสุขมากที่สุดหรือมีความทุกข์น้อยที่สุด (Maximum happiness or minimum sadness)

หนังสือเรื่อง “ความฝันโง่ๆ” เต็มไปด้วยเรื่องราวการเดินตามความฝันของคนหลายคนที่ดูเหมือนไม่มีทางเป็นไปได้ เช่น ความฝันของจอร์จ มัลเลอรี่ ที่พยายามปีนป่ายยอดเขาเอเวอเรสต์เมื่อ 85 ปีที่แล้วก่อนจะหายสาบสูญไป เช่นเดียวกับความฝันของชายตาบอดอย่าง แอริค วีแลนไมเยอร์ ที่ฝันจะปีนขึ้นสู่เจ็ดยอดเขาที่สูงที่สุดในแต่ละทวีป หรือจะเป็น คริส มูน ที่ขาขาดจากกับระเบิดแต่ก็ยังจะฝันที่จะวิ่งมาราธอน หรือแม้แต่ ฌอง-โดมินิค โมบี ที่เป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้เลยแต่เขาก็ยังฝันจะเขียนหนังสือ

ผู้คนที่คุณวินทร์เล่าถึงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นมนุษย์ที่มีความฝันซึ่งหลายคนมองว่าเป็น “ความฝันโง่ๆ” หรือบางครั้งอาจเข้าขั้นว่า “โง่มาก” ด้วยซ้ำ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ทุกคนล้วนทำความฝันของพวกเขาสำเร็จครับ

ผมขอยกตัวอย่างเรื่องราวของ แอริค วีเลนไมเยอร์ (Erik Weihenmayer)ชายตาบอดที่เคยปีนขึ้นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกอย่างเอเวอเรสต์มาแล้ว แอริค เกิดมาพร้อมกับโรค Retinoschisis ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เขาค่อยๆสูญเสียการมองเห็นจนกระทั่งเมื่อเขามีอายุได้ 13 ปี ตาของเขาจึงบอดสนิท

แอริคได้กำลังใจที่ดีจากพ่อแม่ของเขา ทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไปโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องความพิการด้านสายตา นอกจากนี้แอริคยังใช้ชีวิตผจญภัยในหลากหลายรูปแบบที่คนธรรมดาอย่างเราๆอาจจะไม่เคยได้ใช้เลยด้วยซ้ำ เช่น เขาเคยดิ่งพสุธาเดี่ยวมากกว่าห้าสิบครั้ง เคยวิ่งมาราธอน เป็นนักสกี นักดำน้ำ และที่สำคัญเขาเคยไต่ภูเขาที่สูงที่สุดในแต่ละทวีปมาแล้ว อย่างภูเขาแม็คคินลีย์ที่อะแลสกา ภูเขาอคอนกากัวที่อาร์เจนติน่า ภูเขาวินสันที่แอนตาร์คติกา ภูเขาคิลิมันจาโรที่แทนซาเนีย ภูเขาKosciusko ในออสเตรเลีย และที่น่าทึ่งที่สุดคือเขาเดินทางขึ้นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกอย่างเอเวอเรสต์

หลายคนถามเขาว่าทำไมต้องทรมานสังขารตัวเองด้วยการปีนเขา แอริค ตอบว่า “ความสวยงามที่แท้จริงของการปีนเขาไม่ได้อยู่ที่วิวที่ขึ้นไปดูบนยอดเขา หากแต่มันอยู่ที่ข้างภูเขาไม่ใช่บนยอด”

ผมคิดว่าวิธีคิดและการมองโลกแบบแอริคนั้นน่าสนใจนะครับเพราะดูเหมือนว่าเขาไม่ได้มองที่เป้าหมายหรือความสำเร็จเพียงอย่างเดียวหากแต่เขาพยายามเก็บเกี่ยวและให้คุณค่ากับสิ่งที่ได้รับระหว่างการเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้นด้วย

เรื่องราวของแอริค วีแลนไมเยอร์ ได้รับการถ่ายทอดทั้งในรูปแบบหนังสืออย่าง Touch the Top of the World รวมไปถึงภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Farther Than the Eye Can See ครับ

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าความฝันจะสำเร็จได้ก็เนื่องมาจาก “ความเชื่อ” (Believe) ครับ พูดถึงความเชื่อแล้วทำให้ผมนึกถึงเพลง “ความเชื่อ” ของบอดี้สแลม (Bodyslam) ซึ่งผมคิดว่าเป็นเพลงที่ให้กำลังใจได้ดีที่สุดเพลงหนึ่งในห้วงเวลาที่เรากำลังเดินหาความฝันของเราอยู่

เพลงความเชื่ออยู่ในอัลบั้ม Believe(2548)โดยเพลงนี้คุณตูน อาทิวราห์ คงมาลัย เป็นคนร้องนำและยังได้คุณแอ๊ด คาราบาวมาช่วยร้องอีกแรงหนึ่งด้วยซึ่งท่อนที่น้าแอ๊ดมาช่วยร้องนี้ดูเหมือนจะเพิ่มพลังและความขลังให้กับเพลงนี้ด้วยครับ

ผมขออนุญาตปิดท้ายเอนทรี่ด้วยท่อนฮุคของเพลงนี้แล้วกันนะครับ…แด่ทุกคนที่เดินตามหาความฝันครับ

“ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไร มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไงก็ต้องไปให้ถึง ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม แต่มันก็ดี ว่าอย่างน้อย ได้จดจำว่าครั้งหนึ่งเคยก้าวไป แค่คนที่เชื่อในความฝัน จะเหน็ดจะเหนื่อยมันยังต้องเดินต่อไป”

Hesse004